ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นวาระเร่งด่วนที่สุดของมวลมนุษยชาติ ข้อถกเถียงเรื่อง “การเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน” (Energy Transition) ได้ทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ เสียงเรียกร้องให้โลกละทิ้งเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยเร็วที่สุดดังกึกก้องไปทั่วทุกมุมโลก แต่ในอีกฟากหนึ่งของสมการ ยังมีเสียงจากผู้ผลิตพลังงานที่พยายามสะท้อนภาพความเป็นจริงของโลกที่ยังคง “หิวโหย” พลังงานอย่างไม่สิ้นสุด
เมื่อถูกถามถึงมุมมองต่อกลุ่มสิ่งแวดล้อมที่ต้องการให้หยุดใช้ก๊าซธรรมชาติโดยสิ้นเชิง Laga Jenggi กรรมการผู้จัดการและซีอีโอ กลุ่มธุรกิจ Malaysia LNG (MLNG) ปิโตรนาส หนึ่งในผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) รายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ให้คำตอบที่ตรงไปตรงมาและอาจฟังดูสวนกระแส แต่กลับสะท้อนความจริงที่ซับซ้อนได้อย่างน่าขบคิด
“ผมคิดว่าคนเหล่านั้น… ผมไม่แน่ใจว่าควรใช้คำว่าเห็นแก่ตัวหรือไม่ แต่พวกเขามีสายตาที่สั้นมาก” เขากล่าว “ลองจินตนาการดูสิว่าถ้าคุณไม่มีก๊าซธรรมชาติ… แล้วอะไรจะเกิดขึ้น โลกจะมืดมิดหรือ?”
คำกล่าวที่ท้าทายนี้ไม่ได้มาจากทัศนคติที่ต่อต้านพลังงานสะอาด แต่มาจากมุมมองของผู้ที่ยืนอยู่แถวหน้าของห่วงโซ่อุปทานพลังงานโลก และมองเห็นช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่าง “อุดมคติ” ของอนาคตสีเขียว กับ “ความเป็นจริง” ของความต้องการพลังงานในปัจจุบัน บทความนี้จะพาไปสำรวจจุดยืนที่ตั้งอยู่บนความเป็นจริง (Pragmatic) ของผู้ผลิตพลังงาน ว่าเหตุใดพวกเขาจึงเชื่อว่าโลกยังขาด LNG ไม่ได้ และในขณะเดียวกัน พวกเขาได้ทำอะไรบ้างเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางสู่ความยั่งยืนเช่นกัน
โลกที่ยังหิวโหยพลังงาน: ทำไม LNG ยังคงจำเป็น?
หัวใจของข้อโต้แย้งจากฝั่งผู้ผลิต ตั้งอยู่บนตัวเลขความต้องการพลังงานของโลกที่มหาศาล Laga Jenggi ชี้ให้เห็นว่า “ตอนนี้โลกต้องการ LNG ประมาณ 500 ถึง 600 ล้านตันต่อปี การจะหาพลังงานอื่นมาทดแทนในปริมาณขนาดนี้ ต้องใช้ความพยายาม การลงทุน และเวลาอย่างมหาศาล”
การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไม่ใช่แค่การกดสวิตช์ปิดโรงไฟฟ้าเก่าและเปิดโรงไฟฟ้าใหม่ มันคือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบ ซึ่งต้องใช้เงินทุนนับล้านล้านดอลลาร์และใช้เวลาหลายทศวรรษ ในระหว่างนั้น โลกยังคงต้องการพลังงานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ, ให้แสงสว่างแก่เมือง, และให้ความอบอุ่นแก่บ้านเรือน การตัด LNG ออกจากสมการในทันที อาจนำไปสู่วิกฤตพลังงานที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนหลายพันล้านคน
ประเด็นสำคัญอีกประการที่ Laga Jenggi หยิบยกขึ้นมาคือ “ความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ” ที่มักถูกมองข้าม เขากล่าวว่าพลังงานสีเขียวในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว สามารถเกิดขึ้นได้เพราะมีการอุดหนุนจากภาครัฐอย่างมหาศาล “แม้แต่ในยุโรป พวกเขาได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลอย่างมาก แต่บางประเทศในโลก ประเทศโลกที่สาม รวมถึงมาเลเซีย เราไม่ได้มีความสามารถในการทำเช่นนั้น”
“สิ่งที่ยุโรปสามารถจ่ายได้ ไม่ได้หมายความว่าทุกประเทศในโลกจะสามารถจ่ายได้” เขาย้ำ “หลายประเทศในโลกยังคงคิดอยู่แค่ว่าจะหาอาหารลงท้องได้อย่างไร แล้วคุณกำลังพูดถึงเชื้อเพลิงสีเขียว… นี่มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน”
มุมมองนี้ชี้ให้เห็นถึง “ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้านพลังงาน” (Energy Trilemma) ที่ทุกประเทศต้องเผชิญ นั่นคือการสร้างสมดุลระหว่าง ความมั่นคงทางพลังงาน (Security), ราคาที่เข้าถึงได้ (Affordability), และ ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม (Sustainability) การมุ่งเน้นไปที่ความยั่งยืนเพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงอีกสองปัจจัย อาจทำให้ประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญกับภาวะ “ความยากจนทางพลังงาน” (Energy Poverty) ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำให้รุนแรงขึ้น
ในบริบทนี้ LNGจึงถูกวางตำแหน่งในฐานะ “เชื้อเพลิงเปลี่ยนผ่าน” (Transition Fuel) ที่ดีที่สุด เพราะเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สะอาดที่สุดเมื่อเทียบกับถ่านหินและน้ำมัน การใช้LNG ทดแทนเชื้อเพลิงที่ก่อมลพิษมากกว่า จึงเป็นก้าวสำคัญในทางปฏิบัติที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในทันที ระหว่างที่โลกรอให้พลังงานหมุนเวียนมีราคาถูกลงและมีเสถียรภาพมากพอที่จะเป็นแหล่งพลังงานหลักได้
การกระทำที่พิสูจน์คำพูด: เมื่อ MLNG เดินหน้าลดรอยเท้าคาร์บอน
เพื่อไม่ให้ข้อโต้แย้งของตนเองถูกมองว่าเป็นเพียงวาทศิลป์เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจ MLNG ได้แสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่าพวกเขาไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่กำลังดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อลดผลกระทบจากการดำเนินงานของตนเอง
1. กองทัพรถยนต์ไฟฟ้า (The EV Fleet): MLNG ได้ลงทุนนำรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จำนวน 45 คัน พร้อมสถานีชาร์จ 46 แห่ง มาใช้เป็นยานพาหนะหลักภายในนิคมอุตสาหกรรม โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ แต่ส่งผลกระทบที่วัดผลได้จริง โดย Laga Jenggi ประเมินว่า “มันช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 100,000 ตันต่อปี” นี่คือการ “ลงมือทำ” ที่ชัดเจน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับปฏิบัติการ
2. การนำเข้าไฟฟ้าพลังน้ำ (Importing Hydropower): นอกจากการลดการปล่อยมลพิษจากการขนส่งภายในแล้ว MLNG ยังมองไปที่แหล่งพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิตด้วย “เรากำลังพูดถึงการนำเข้าไฟฟ้าสีเขียวจากโครงข่ายไฟฟ้าของรัฐ” Laga กล่าว “โครงข่ายไฟฟ้าของซาราวักประมาณ 70% เป็นพลังงานสีเขียว เพราะเรามีไฟฟ้าพลังน้ำจำนวนมาก” การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่จะซื้อไฟฟ้าสะอาดจากภายนอก แทนที่จะผลิตไฟฟ้าจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงทั้งหมดด้วยตนเอง ถือเป็นการลดรอยเท้าคาร์บอนในภาพรวมได้อย่างมีนัยสำคัญ
3. นวัตกรรมเพื่อประสิทธิภาพ (Innovation for Efficiency): การลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง 5G และ AI ที่กล่าวถึงในบทความก่อนหน้า ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการผลิตเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงโดยตรงกับความยั่งยืนอีกด้วย โรงงานที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ย่อมหมายถึงการใช้พลังงานและเชื้อเพลิงต่อหน่วยการผลิตที่ลดลง ซึ่งนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายทางธุรกิจและเป้าหมายทางสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินไปในทิศทางเดียวกันได้
การกระทำที่เป็นรูปธรรมเหล่านี้ คือคำยืนยันว่า MLNG ตระหนักดีถึงบทบาทและความรับผิดชอบของตนเองในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา ไม่ใช่เป็นเพียงผู้สร้างปัญหา
บทสรุป: ค้นหาจุดสมดุลระหว่าง ‘อุดมคติ’ และ ‘ความเป็นจริง’
ข้อถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาดยังคงเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและไม่มีคำตอบที่ง่ายหรือตายตัว เรื่องราวและมุมมองจาก MLNG ไม่ได้ต้องการจะบอกว่าเป้าหมายของกลุ่มสิ่งแวดล้อมนั้นผิด แต่ต้องการเชิญชวนให้ทุกฝ่ายหันมามองภาพความเป็นจริงที่กว้างขึ้น และร่วมกันค้นหา “จุดสมดุล” ที่เหมาะสม
จุดหมายปลายทางของโลกคืออนาคตที่คาร์บอนต่ำและยั่งยืน ประเด็นนี้ไม่มีใครโต้แย้ง แต่คำถามสำคัญที่ Laga Jenggi และผู้ผลิตพลังงานพยายามจะสื่อสารคือ “เส้นทาง” ที่จะเดินไปสู่จุดหมายนั้นควรเป็นอย่างไร?
LNGไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของโลกพลังงาน และไม่ใช่ปลายทางของ MLNG เช่นกัน แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน มันคือ “สะพาน” (Bridge) ที่แข็งแรงและจำเป็นที่สุด ที่จะช่วยให้โลกสามารถข้ามผ่านจากยุคที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อมลพิษสูง ไปสู่ยุคของพลังงานหมุนเวียนได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การพยายามกระโดดข้ามเหวแห่งพลังงานไปในครั้งเดียวโดยไม่มีสะพาน อาจนำไปสู่การล่มสลายทางเศรษฐกิจและสังคมที่รุนแรงกว่าที่คาดคิด
ดังนั้น การสนทนาเรื่องพลังงานในอนาคตจึงไม่ควรเป็นเรื่องของ “การเลือกข้าง” ระหว่างเชื้อเพลิงฟอสซิลกับพลังงานสีเขียว แต่ควรเป็นการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ว่าจะใช้ “เชื้อเพลิงเปลี่ยนผ่าน” อย่างLNG ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร เพื่อสร้างหลักประกันว่าการเดินทางสู่อนาคตสีเขียวของมวลมนุษยชาติ จะเป็นการเดินทางที่มั่นคง, เป็นธรรม, และเกิดขึ้นได้จริงสำหรับทุกคน
#ความยั่งยืน #พลังงานสะอาด #LNG #เชื้อเพลิงเปลี่ยนผ่าน #EnergyTransition #ClimateChange #สิ่งแวดล้อม #MLNG #Petronas #พลังงานและสิ่งแวดล้อม