สมรภูมิตลาดสุกี้มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาทของไทยกำลังลุกเป็นไฟ เมื่อ “สุกี้ตี๋น้อย” ยักษ์เล็กผู้ท้าชิง เปิดฉากรบซึ่งหน้าด้วยการสาดโปรโมชั่นบุฟเฟ่ต์ราคา 199 บาท ชนหมัดกับ “เอ็มเค สุกี้” เจ้าตลาดผู้เกรียงไกรที่เพิ่งเปิดตัวบุฟเฟ่ต์ 299 บาท การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ใช่แค่สงครามราคาเพื่อแย่งชิงลูกค้าชั่วคราว แต่คือบทพิสูจน์การปรับตัวครั้งใหญ่ของสองแบรนด์ ที่สะท้อนภาพการแข่งขันอันดุเดือด สภาวะเศรษฐกิจที่บีบคั้น และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บทสรุปของสงครามครั้งนี้อาจเป็นตัวกำหนดทิศทางใหม่ของวงการร้านอาหารไทยไปอีกหลายปี
ณ วินาทีนี้ คงไม่มีสมรภูมิธุรกิจใดจะร้อนระอุเท่าตลาดร้านอาหารประเภทสุกี้ในประเทศไทยอีกแล้ว เมื่อควันแห่งสงครามราคาได้ก่อตัวขึ้นอย่างหนาทึบและชัดเจน การเปิดศึกครั้งนี้มิใช่การกระทบกระทั่งของรายเล็ก แต่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างสองผู้เล่นรายสำคัญที่กุมชะตาของตลาด นั่นคือ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ “เอ็มเค สุกี้“ พญาราชสีห์แห่งวงการผู้ครองบัลลังก์มาอย่างยาวนาน และ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด หรือ “สุกี้ตี๋น้อย“ ม้ามืดผู้เติบโตอย่างก้าวกระโดดจนสั่นสะเทือนบัลลังก์ของเจ้าตลาด
ชนวนเหตุแห่งมหาศึกครั้งนี้ปะทุขึ้นในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2568 เมื่อเอ็มเค สุกี้ ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการประกาศกลยุทธ์เชิงรุกที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือการเปิดตัว “MK Buffet คุ้ม คุ้ม” ในราคาที่เข้าถึงง่ายอย่างเหลือเชื่อเพียง 299 บาทสุทธิ ต่อท่าน การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการทลายกำแพงราคาของตัวเองอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จากเดิมที่ภาพลักษณ์ของแบรนด์ผูกติดอยู่กับการเป็นร้านสุกี้สำหรับครอบครัวในระดับราคาปานกลางถึงสูง การนำเสนอเมนูบุฟเฟ่ต์ที่ลูกค้าสามารถอิ่มอร่อยได้ไม่อั้นกับรายการอาหารยอดนิยมกว่า 19 รายการ รวมถึงไฮไลท์อย่างเนื้อบริสเก็ตออสเตรเลียและหมูสไลซ์คุณภาพเยี่ยม ในสาขาที่ร่วมรายการซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่างบิ๊กซีและโลตัส ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า เอ็มเคพร้อมแล้วที่จะลงมาเล่นในเกมแห่งความคุ้มค่าอย่างเต็มตัว เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองและทุกบาททุกสตางค์มีความหมาย
ทว่าเสียงปรบมือชื่นชมในความกล้าหาญของเอ็มเคยังไม่ทันจางหาย พายุลูกใหม่ก็ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ฟากฝั่งของสุกี้ตี๋น้อย ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความไวในการทำตลาดและการใช้โซเชียลมีเดียเป็นอาวุธสำคัญ ก็ได้ประกาศเคลื่อนไหวที่ทำให้ทั้งวงการต้องหันมาจับตา ด้วยการเปิดตัวโปรโมชั่นบุฟเฟ่ต์สวนกลับในราคาเพียง 199 บาท (ยังไม่รวมเครื่องดื่มรีฟิลและภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากราคาปกติ 219 บาท
แม้จะมีการให้เหตุผลอย่างสวยหรูว่าเป็นการจัดแคมเปญเพื่อเฉลิมฉลองการมีผู้ติดตามครบ 1 ล้านคนบนแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่ในสายตาของนักการตลาดและคู่แข่ง นี่คือการ “ประกาศสงคราม” อย่างเป็นทางการ การตั้งราคาที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ และการเลือกช่วงเวลาประกาศที่ทับซ้อนกันอย่างจงใจ คือการส่งสารท้ารบไปยังคู่แข่งหมายเลขหนึ่งโดยตรงว่า “สังเวียนนี้ไม่ได้มีคุณแค่คนเดียว”
ถอดรหัสกลยุทธ์ “พญาราชสีห์ปรับทัพ” ของ MK
การที่เอ็มเค สุกี้ ยอมหั่นราคาลงมาเล่นในสมรภูมิบุฟเฟ่ต์ราคาประหยัด ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ที่ผ่านมา เอ็มเคประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ให้เป็น “ร้านสุกี้ของครอบครัว” ที่ลูกค้ายอมจ่ายในราคาที่สูงกว่าเพื่อแลกกับคุณภาพวัตถุดิบ การบริการที่ได้มาตรฐาน และบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นกันเอง อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภูมิทัศน์ของตลาดได้เปลี่ยนไป การเกิดขึ้นของคู่แข่งหน้าใหม่จำนวนมากที่ชูจุดขายด้านราคาและความคุ้มค่า โดยเฉพาะการมาถึงของ “สุกี้ตี๋น้อย” ได้เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดและเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคไปอย่างมาก กลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มลูกค้าที่อ่อนไหวต่อราคา (Price Sensitivity) เริ่มมองหาทางเลือกที่ตอบโจทย์กระเป๋าเงินได้ดีกว่า
ดังนั้น การเปิดตัว MK Buffet 299 บาท จึงไม่ใช่แค่โปรโมชั่นลดราคาธรรมดา แต่มันคือการ “ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและเติบโต” ในสภาวะแวดล้อมใหม่ เป็นการส่งเครื่องบินรบฝูงใหม่ลงสู่สนามรบที่เอ็มเคไม่เคยให้ความสำคัญมาก่อน เพื่อเป้าหมายหลายประการพร้อมกัน ประการแรก คือการ สกัดการเติบโตของคู่แข่ง โดยเฉพาะสุกี้ตี๋น้อยที่ขยายสาขาอย่างรวดเร็ว การตั้งราคาที่ใกล้เคียงกันทำให้ผู้บริโภคเริ่มเกิดการเปรียบเทียบ และอาจดึงดูดลูกค้าบางส่วนที่เคยเลือกตี๋น้อยเพราะราคา ให้หันกลับมาพิจารณาเอ็มเคอีกครั้ง ประการที่สอง คือการ ขยายฐานลูกค้า ไปยังกลุ่มที่ไม่เคยเป็นลูกค้าของเอ็มเคมาก่อน เช่น กลุ่มนักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่เริ่มต้นทำงานซึ่งมีกำลังซื้อจำกัด และประการสุดท้าย คือการ สร้างภาพลักษณ์ใหม่ ให้กับแบรนด์ว่าเอ็มเคไม่ได้มีแต่ของแพง แต่ยังมีความคุ้มค่าที่ทุกคนเข้าถึงได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความถี่ในการกลับมาใช้บริการของลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่ไปพร้อมกัน
“ม้ามืดผู้ท้าชิง” กับเกมรบที่ไม่เคยกลัวใครของตี๋น้อย
ในทางกลับกัน การตอบโต้ของสุกี้ตี๋น้อยก็สะท้อนให้เห็นถึง DNA ของแบรนด์ที่ชัดเจน นั่นคือ ความกล้าได้กล้าเสีย ความรวดเร็วในการตัดสินใจ และความเข้าใจในพลังของสงครามราคา ตี๋น้อยเติบโตขึ้นมาจากการวางตำแหน่งทางการตลาดที่เฉียบคม คือการเป็น “สุกี้ของคนรุ่นใหม่” ที่อร่อย คุ้มค่า และเข้าถึงง่าย การเปิดให้บริการถึงช่วงดึก และการตั้งราคาที่เป็นมิตร ทำให้ตี๋น้อยกลายเป็นแบรนด์ขวัญใจมหาชนได้อย่างรวดเร็ว
การประกาศลดราคาเหลือ 199 บาท คือการตอกย้ำจุดยืนดังกล่าวให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก มันคือการบอกกับตลาดว่า “บัลลังก์แห่งความคุ้มค่านี้ยังเป็นของฉัน” ตี๋น้อยรู้ดีว่าอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของตนคือ “ราคา” และเมื่อคู่แข่งพยายามจะเข้ามาเล่นในเกมที่ตัวเองถนัด ทางเดียวที่จะรักษาความเป็นผู้นำไว้ได้คือต้องทำให้เหนือกว่าและเจ็บปวดกว่า การจำกัดเวลาโปรโมชั่นในช่วง 11.00 – 17.00 น. ยังเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในการบริหารจัดการต้นทุนและกระตุ้นให้เกิดทราฟฟิกในช่วงเวลาออฟ-พีค (Off-Peak) ของวัน ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีลูกค้าน้อยกว่าช่วงเย็น
สิ่งที่น่าสนใจคือ สงครามราคาครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่กับสองบริษัทนี้เท่านั้น แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งอุตสาหกรรมร้านอาหาร ผู้ประกอบการรายอื่นในตลาดสุกี้และชาบู ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ในระดับเดียวกันหรือเล็กกว่า ต่างต้องกลับมาทบทวนกลยุทธ์ราคาและโปรโมชั่นของตนเองอย่างเร่งด่วน เพราะเมื่อสองยักษ์ใหญ่เปิดศึกกัน ผู้บริโภคย่อมมีความคาดหวังต่อความคุ้มค่าที่สูงขึ้นจากทุกแบรนด์
บทสรุปและอนาคตของสงครามที่ผู้บริโภคคือผู้ชนะ
ในระยะสั้น ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากสงครามราคาครั้งนี้คือ “ผู้บริโภค” อย่างไม่ต้องสงสัย การแข่งขันที่ดุเดือดทำให้เกิดทางเลือกที่หลากหลายและคุ้มค่ายิ่งขึ้น สามารถอิ่มอร่อยกับสุกี้คุณภาพในราคาที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว สงครามครั้งนี้มีความท้าทายซ่อนอยู่สำหรับทั้งสองฝ่าย
สำหรับเอ็มเค ความท้าทายคือการบริหารจัดการภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) การลงมาเล่นในสงครามราคาอาจทำให้ภาพลักษณ์ความพรีเมียมที่สั่งสมมานานสั่นคลอนได้ และต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านการลดลงของอัตรากำไร (Profit Margin) รวมถึงการรักษามาตรฐานการบริการให้คงเดิมภายใต้ลูกค้าที่เพิ่มขึ้นมหาศาล
สำหรับสุกี้ตี๋น้อย ความท้าทายคือการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจที่ไม่พึ่งพิงแค่กลยุทธ์ด้านราคาเพียงอย่างเดียว เมื่อแบรนด์เติบโตขึ้น ความคาดหวังของผู้บริโภคในด้านอื่นๆ เช่น คุณภาพของวัตถุดิบที่หลากหลายขึ้น นวัตกรรมเมนูใหม่ๆ และการบริการที่เป็นเลิศ ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย การแข่งขันในอนาคตอาจไม่ได้วัดกันที่ใครถูกกว่า แต่อาจวัดกันที่ใครสามารถสร้าง “คุณค่า” โดยรวมได้ดีกว่ากัน
บทสรุปของมหาศึกสุกี้ในเดือนมิถุนายน 2568 นี้ คงไม่ใช่แค่ชัยชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้ตลาดต้องปรับสมดุลใหม่ มันคือสัญญาณเตือนว่ายุคของการแข่งขันด้วยราคาได้กลับมาอีกครั้งอย่างเต็มรูปแบบ และผู้ที่จะอยู่รอดได้คือผู้ที่สามารถปรับตัวได้เร็วที่สุด เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้ลึกซึ้งที่สุด และสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเท่านั้น สงครามครั้งนี้เพิ่งเริ่มต้น และหลังจากฝุ่นควันจางลง เราอาจได้เห็นโฉมหน้าใหม่ของตลาดสุกี้ประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
#สงครามราคาสุกี้ #สุกี้ตี๋น้อย #เอ็มเคสุกี้ #MKBuffet #โปรโมชั่น #บุฟเฟ่ต์ #ข่าวเศรษฐกิจ #การตลาด #ร้านอาหาร #สุกี้199 #MK299 #วิเคราะห์ธุรกิจ