กระทรวง พม. จับมือเครือข่าย เปิดโครงการ “Prem’s Plearn” ณ ชุมชนริมคลองเปรมประชากร ชูการพัฒนาเด็กและเยาวชนเป็นวาระเร่งด่วน รับมือวิกฤตประชากร สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ เน้นสร้างเด็กคุณภาพแม้เกิดน้อย พร้อมแก้ปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษา สร้างชุมชนต้นแบบ ปูทางสู่การเป็นกำลังสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
ท่ามกลางสถานการณ์สังคมไทยที่กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายเชิงโครงสร้างประชากรครั้งใหญ่ ทั้งการเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ อัตราการเกิดใหม่ที่ลดต่ำลงสวนทางกับอัตราการตายที่เพิ่มสูงขึ้น และวัยแรงงานที่ต้องแบกรับภาระพึ่งพิงมากขึ้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ตระหนักถึงความสำคัญเร่งด่วนในการลงทุนกับทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าที่สุดของประเทศ นั่นคือ เด็กและเยาวชน โดยเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568 ณ ชุมชนประชาร่วมใจ 1 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ได้เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Kick off โครงการ “Prem’s Plearn” (เปรม เพลิน) จุดพลังครอบครัว ชุมชน ร่วมพัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายเชิงรุกเพื่อสร้างอนาคตของชาติ
โครงการ “Prem’s Plearn” มีเป้าประสงค์หลักเพื่อสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ ส่งเสริมบทบาทของสถาบันครอบครัวซึ่งเป็นแกนหลักในการบ่มเพาะเด็กและเยาวชนให้เติบโตเป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพ และที่สำคัญคือการป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อศักยภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว โดยโครงการนี้เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และชุมชนเอง ในการเป็นเครือข่ายเฝ้าระวังและสนับสนุนเด็กและเยาวชน
วิกฤตประชากร: โจทย์ใหญ่ที่ต้องใช้ “คุณภาพ” สู้ “ปริมาณ”
นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัด พม. ได้ฉายภาพสถานการณ์ประชากรไทยอย่างน่าสนใจว่า “ปัจจุบัน สถานการณ์สังคมไทย กำลังเผชิญกับวิกฤตประชากร เป็นสังคมสูงวัย ในขณะที่เด็กเกิดน้อย และวัยแรงงานต้องแบกรับภาระพึ่งพิงมากขึ้น โดยมีเด็กและเยาวชน จำนวน 18,978,917 คน คิดเป็น 29.65 ของประชากรไทย (64.98 ล้านคน) แบ่งเป็นเด็ก 0 – 17 ปี จำนวน 12,436,691 คน และเยาวชน 18 – 25 ปี จำนวน 6,542,226 คน (ข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทย ณ ตุลาคม 2567) และด้วยอัตราการเกิดน้อยกว่าอัตราการตาย เด็กถือเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญ และมีคุณค่าของประเทศ”
คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการเน้น “ปริมาณ” ไปสู่การเน้น “คุณภาพ” ของประชากร โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ซึ่งจะเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต การที่เด็กเกิดน้อยลงหมายความว่าเด็กแต่ละคนจะต้องมีศักยภาพและความพร้อมที่สูงขึ้น เพื่อทดแทนจำนวนที่ลดลง และเพื่อแบกรับภาระทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนผู้สูงอายุที่มากขึ้น ทั้งในแง่ของกำลังการผลิต นวัตกรรม และการเสียภาษีเพื่อสนับสนุนระบบสวัสดิการสังคม
ปลัด พม. ยังได้กล่าวถึงความเปราะบางของเด็กและเยาวชนไทยในปัจจุบันว่า “สถานการณ์ปัญหาของเด็กและเยาวชนไทย กำลังเผชิญกับความเสี่ยงและความไม่ปลอดภัยในทุกมิติ จากสังคม สิ่งแวดล้อม และสิ่งเร้าต่างๆ ที่เป็นอันตราย ซึ่งเราพบเห็นได้จากข่าวในสื่อต่างๆ เช่น การถูกทำร้ายร่างกาย การถูกล่วงละเมิดทางเพศ การถูกทอดทิ้งละเลย และเลี้ยงดูไม่เหมาะสม ดังนั้น คนในชุมชนจึงเป็นกำลังสำคัญในการเฝ้าระวังปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกหลาน” ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างบาดแผลทางใจและกายให้กับเด็ก แต่ยังเป็นต้นทุนทางสังคมและเศรษฐกิจที่ประเทศต้องจ่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา การบังคับใช้กฎหมาย และที่สำคัญที่สุดคือการสูญเสียศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ที่ควรจะเติบโตขึ้นมาสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ
นโยบาย “เด็กเกิดน้อย แต่เปี่ยมด้วยคุณภาพ”: การลงทุนเพื่ออนาคตชาติ
ภายใต้นโยบายของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มุ่งเน้นการ “เพิ่มคุณภาพและผลิตภาพของเด็กและเยาวชน คือ เด็กเกิดน้อย แต่เปี่ยมด้วยคุณภาพ” กระทรวง พม. ได้ออกมาตรการสำคัญหลายด้าน ทั้งการพัฒนาทักษะชีวิตและทักษะวิชาชีพตามวัย การส่งเสริมศักยภาพ การคุ้มครองพิทักษ์สิทธิ และการจัดสวัสดิการสังคม เพื่อให้เด็กและเยาวชนสามารถเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างสร้างสรรค์ การลงทุนเหล่านี้ถือเป็นการลงทุนใน “ทุนมนุษย์” (Human Capital) ที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมที่คุ้มค่าที่สุดในระยะยาว เด็กที่มีคุณภาพจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีผลิตภาพสูง มีรายได้ดี มีสุขภาพแข็งแรง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มศักยภาพ
ชุมชนริมคลองเปรมประชากร: ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ขับเคลื่อนจากฐานราก
การพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนของการบูรณาการการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนเมือง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งโครงการ “Prem’s Plearn” ได้เข้ามาเสริมศักยภาพ นายอนุกูลกล่าวว่า “การพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร นั้น ทำให้เราได้เห็นถึงการมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนที่อาศัยอยู่ริมคลองเปรมประชากร โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งครอบครัวและชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมพัฒนาและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ภายใต้หลักการชุมชนนำชุมชนเป็นฐาน กิจกรรมโครงการมาจากความต้องการของชุมชน ซึ่งชุมชนประชาร่วมใจ 1 แห่งนี้ จะเป็นชุมชนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก เยาวชน และครอบครัวสำหรับพื้นที่ชุมชนเมืองอื่นได้ต่อไป”
แนวคิด “ชุมชนนำชุมชนเป็นฐาน” (Community-led development) นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในทางเศรษฐศาสตร์ชุมชน เพราะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ทำให้ชุมชนสามารถระบุปัญหาและความต้องการของตนเอง กำหนดทิศทางการพัฒนา และบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่ชุมชนประชาร่วมใจ 1 ซึ่งมีความเข้มแข็งของผู้นำและสมาชิกอยู่แล้ว ได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม จะช่วยยกระดับให้เป็นชุมชนต้นแบบที่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ไปยังชุมชนอื่นๆ สร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง และอาจนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในระดับชุมชนได้ เช่น การสร้างอาชีพเสริม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน หรือการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในอนาคต หากมีการต่อยอดที่เหมาะสม
นายอนุกูล ยังได้เน้นย้ำถึงพลังของความมุ่งมั่นและความร่วมมือว่า “ถ้าเรายืนหยัด จะทำให้ชุมชนเปลี่ยนเป็นชุมชนต้นแบบอย่างแท้จริง ซึ่งเราต้องช่วยกันสแกนทุกคน ทุกสิ่งในชุมชน และเราต้องให้โอกาสกับคนที่เคยทำผิดพลาด” การให้โอกาสและการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเป็นหลักการสำคัญในการพัฒนาที่ยั่งยืน เพราะทุกคนในชุมชนคือฟันเฟืองที่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้ การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น สำนักงานเขตจตุจักรและกรุงเทพมหานคร รวมถึงภาคีเครือข่ายต่างๆ ยิ่งเสริมให้ชุมชนมีความแข็งแกร่งและสามารถขยายผลความสำเร็จได้
“ขอให้กำลังใจพ่อแม่ผู้ปกครอง ด้วยต้องต่อสู้กับสภาพปัญหาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งกระทรวง พม. รวมถึงภาคีเครือข่าย พร้อมให้การสนับสนุนชุมชน โดยเฉพาะให้พ่อแม่ผู้ปกครองมีความพร้อมทั้งกายและใจในการดูแลบุตรหลาน” ปลัด พม. กล่าวเสริม สะท้อนความเข้าใจในแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ครัวเรือนจำนวนมากกำลังเผชิญ การสนับสนุนครอบครัวให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและจิตใจจึงเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้พวกเขาสามารถดูแลบุตรหลานได้อย่างเต็มศักยภาพ
กิจกรรมหลากหลาย ตอบโจทย์การพัฒนาเด็กและเยาวชนรอบด้าน
นางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของโครงการ “Prem’s Plearn” ว่าจะมีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึง กันยายน 2568 ครอบคลุม 5 รูปแบบกิจกรรมหลัก ได้แก่
- กิจกรรมพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างทักษะชีวิตของเด็กและเยาวชน: เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การสื่อสาร และการทำงานเป็นทีม ซึ่งเป็นทักษะจำเป็นสำหรับโลกยุคใหม่
- กิจกรรมเสริมสร้างความรู้ให้พ่อแม่ผู้ปกครองในการเลี้ยงดูลูกเชิงบวก: เพื่อลดความรุนแรงในครอบครัว และสร้างสัมพันธภาพที่ดี ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์และสติปัญญาของเด็ก
- การจัดตั้งและขับเคลื่อนสภาเด็กและเยาวชนของชุมชน: เพื่อเป็นพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้แสดงความคิดเห็น มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และเรียนรู้กระบวนการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการสร้างพลเมืองที่มีความรับผิดชอบในอนาคต
สำหรับกิจกรรมในวันเปิดโครงการ ได้มีการมอบทุนการศึกษา จำนวน 18 ราย และมอบอุปกรณ์การเรียน จำนวน 129 ราย ภายใต้กิจกรรม “เปิดเทอมใหม่ ส่งน้องไปเรียน” ซึ่งดำเนินมาเป็นปีที่ 4 การสนับสนุนด้านการศึกษาเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง และสร้างโอกาสให้เด็กๆ ได้เข้าถึงการศึกษาอย่างต่อเนื่อง อันเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาทุนมนุษย์
การจัดงานครั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายจำนวนมาก สะท้อนพลังความร่วมมือของสังคมไทย อาทิ สภาสมาคมสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์, สมาคมสตรีภาคพื้นแปซิฟิกและเอเชียอาคเนย์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์, มูลนิธิคุ้มเกล้าเยาวชนคนสร้างชาติ, มูลนิธิ Five for All, กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กับโครงการ Thailand Zero Drop out, สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย, สมาคมสแต็คประเทศไทย (TSSA), สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว, สหทัยมูลนิธิและมูลนิธิสุขภาพไทย, มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน, สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กับโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ Happy School Break และ Chef Cares (เชฟแคร์ส) ที่ร่วมมอบอาหารกล่องแช่แข็ง
ความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วนเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยระดมทรัพยากรทั้งด้านงบประมาณ บุคลากร และองค์ความรู้ แต่ยังสร้างพลังทางสังคมที่ยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนวาระการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เป็นรูปธรรมและยั่งยืน การที่องค์กรต่างๆ เช่น กสศ. เข้ามาร่วมรณรงค์เรื่อง Zero Dropout หรือการที่มูลนิธิภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนปัจจัยพื้นฐาน ย่อมส่งผลดีต่อการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยรวมของเด็กและเยาวชน ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลกลับมาเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศผ่านการมีพลเมืองที่มีคุณภาพและผลิตภาพสูงขึ้น
โครงการ “Prem’s Plearn” และความพยายามของ พม. รวมถึงภาคีเครือข่าย ในการจุดพลังครอบครัวและชุมชนเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน จึงไม่ใช่เพียงแค่กิจกรรมสงเคราะห์สังคม แต่คือการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ในอนาคตของประเทศไทย การสร้างเด็กและเยาวชนที่ “เปี่ยมด้วยคุณภาพ” ในวันนี้ คือหลักประกันว่าประเทศไทยจะมีกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และนวัตกรรม เพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ และก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนในวันข้างหน้า การพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากรให้เป็นชุมชนต้นแบบ จึงเป็นก้าวเล็กๆ ที่มีความหมายยิ่งใหญ่ต่อภาพรวมการพัฒนาประเทศในระยะยาว
#พมพัฒนาเด็กสู้ภัยประชากร #PremPlearnสร้างคนคุณภาพ #ทุนมนุษย์ริมคลองเปรม #พัฒนาเด็กเยาวชนคืออนาคตเศรษฐกิจไทย #แก้เด็กหลุดระบบสร้างชาติมั่นคง