กสทช. เดินหน้ามาตรการเชิงรุก นำทัพโดย “ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล” ลงพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว คุมเข้มคุณภาพสัญญาณมือถือและอินเทอร์เน็ต ป้องกันการรั่วไหลข้ามแดนสู่กัมพูชา หวังตัดท่อน้ำเลี้ยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล พร้อมผนึกกำลังศุลกากรสกัดซิมเถื่อน และเตรียมขยายผลไปยังจังหวัดชายแดนอื่นๆ ต่อเนื่อง
สระแก้ว, ประเทศไทย – ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเว็บพนันออนไลน์ ได้กลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย คิดเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอและตัดวงจรอาชญากรรมข้ามชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ยกระดับมาตรการควบคุมสัญญาณโทรคมนาคมตามแนวชายแดนอย่างเข้มข้น
ล่าสุด วันนี้ (26 มิถุนายน 2568) นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ได้นำคณะเจ้าหน้าที่จากสำนักงาน กสทช. ส่วนกลาง และสำนักงาน กสทช. เขต 14 (ปราจีนบุรี) ลงพื้นที่ปฏิบัติการเชิงรุก ณ บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัด สระแก้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจ และในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการใช้เป็นฐานในการกระทำความผิดของกลุ่มมิจฉาชีพ
ภารกิจหลักในครั้งนี้ คือการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ต เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณของประเทศไทยรั่วไหลหรือล้ำแดนเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ซึ่งอาจถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี หลอกลวงประชาชนคนไทย
ตัดท่อน้ำเลี้ยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์: ปฏิบัติการคุมสัญญาณชายแดน
นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ได้เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานว่า จากการตรวจสอบสถานีฐาน (Base Station) ของผู้ให้บริการโทรคมนาคมตลอดแนวชายแดนจังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากฝั่งตรงข้ามมีสถานกาสิโนตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก โดยได้ทำการตรวจสอบสถานีฐานไปแล้วทั้งสิ้น 52 แห่ง ผลปรากฏว่า
ไม่พบการตั้งเสาสัญญาณหรือการหันสายอากาศในทิศทางที่สุ่มเสี่ยงต่อการใช้งานนอกประเทศแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันในระดับสูงสุด กสทช. ได้ใช้มาตรการที่เด็ดขาดและชัดเจนยิ่งขึ้น
นายไตรรัตน์กล่าวว่า “ตอนนี้ไทยจะลดความแรงของสัญญาณโทรศัพท์มือถือ และสัญญาณอินเทอร์เน็ตบริเวณชายแดน ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการเพื่อป้องกันไม่ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้สัญญาณไปหลอกลวงประชาชน พร้อมกับประสานผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือให้มาตรวจสอบร่วมกัน โดยจากจุดชายแดนเข้ามายังไทย ระยะห่าง 100 เมตร จะยังคงมีสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต แต่ประสิทธิภาพในการใช้งานอาจลดลงจากเดิม”
มาตรการดังกล่าวถือเป็นการ “ตัดท่อน้ำเลี้ยง” ทางเทคโนโลยีของแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยตรง เพราะแม้ว่ากลุ่มมิจฉาชีพจะมีซิมการ์ดของไทยอยู่ในมือ แต่หากไม่มีสัญญาณที่แรงและมีเสถียรภาพเพียงพอ ก็จะไม่สามารถใช้ในการโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP) หรือควบคุมระบบจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านได้ ทำให้การก่ออาชญากรรมทำได้ยากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และการสร้างสมดุล
การลงพื้นที่ของ กสทช. ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างสมดุลระหว่าง “ความมั่นคงทางไซเบอร์” และ “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดน” จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก และตลาดโรงเกลือ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา มีมูลค่าการค้าปีละหลายหมื่นล้านบาท การสื่อสารโทรคมนาคมที่ราบรื่นเป็นปัจจัยสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงินดิจิทัล การขนส่งโลจิสติกส์ และการติดต่อธุรกิจ
การลดความแรงของสัญญาณในรัศมี 100 เมตรจากแนวชายแดน จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทาย ซึ่ง กสทช. ได้ทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการชาวไทยที่ดำเนินธุรกิจอย่างสุจริตในพื้นที่จะเกิดขึ้นน้อยที่สุด โดยยังคงสามารถใช้งานเพื่อการสื่อสารและทำธุรกรรมที่จำเป็นได้ แม้ประสิทธิภาพอาจลดลงบ้าง
ผนึกกำลัง “ศุลกากร” สกัดซิมเถื่อนทะลักข้ามแดน
นอกเหนือจากการควบคุมสัญญาณแล้ว อีกหนึ่งปัญหาสำคัญคือการลักลอบนำ “ซิมการ์ด” ที่ลงทะเบียนในประเทศไทยออกไปใช้งานในต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นช่องโหว่สำคัญที่กลุ่มอาชญากรใช้ในการปกปิดตัวตน
ในประเด็นนี้ สำนักงาน กสทช. เขต 14 จ.ปราจีนบุรี ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้เข้าหารือและนำเสนอข้อมูลโดยตรงต่อนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งกำกับดูแลกรมศุลกากร โดยได้ร้องขอให้ด่านศุลกากรทั่วประเทศ โดยเฉพาะด่านที่มีความเสี่ยงสูง ช่วยเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการลักลอบนำซิมการ์ดออกนอกราชอาณาจักร
“เราได้ร้องขอให้ด่านศุลกากร ช่วยดำเนินการตรวจสอบการลักลอบนำออกซิมการ์ดของประเทศไทยด้วยการใช้เครื่องสแกนในการค้นหาการลักลอบนำออกด้วย” การประสานความร่วมมือข้ามหน่วยงานนี้ จะช่วยปิดช่องว่างในการลักลอบนำซิมการ์ดจำนวนมาก ซึ่งมักซุกซ่อนไปกับสินค้าหรือสัมภาระต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เดินหน้าต่อเนื่อง ขยายผลสู่จังหวัดชายแดนอื่น
นายไตรรัตน์ได้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ภารกิจปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ที่มีความเสี่ยง
“นอกจากการลงพื้นที่บริเวณจุดผ่านแดนไทย-กัมพูชา สำนักงาน กสทช. จะลงพื้นที่บริเวณชายแดนต่อเนื่อง ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี ตราด ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ หลังมีการควบคุมการเข้าออกจุดผ่านแดน เพื่อตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ไม่ให้เกิดผลกระทบกับคนไทยในพื้นที่ พร้อมทั้งจะตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ไม่ให้เกิดการล้ำข้ามแดนไปยังกัมพูชา” นายไตรรัตน์กล่าว
พร้อมกันนี้ ได้กำชับไปยังผู้ให้บริการโทรคมนาคมทุกรายให้ความสำคัญและดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดย กสทช. จะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบแต่ละจุดร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการต่างๆ ที่วางไว้จะถูกนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของ กสทช. นี้ จึงไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ประเทศไทยจะไม่ยอมเป็นแหล่งพักพิงหรือปล่อยให้เทคโนโลยีของชาติถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายเศรษฐกิจและสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอีกต่อไป
#กสทช #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ชายแดนไทยกัมพูชา #สระแก้ว #อรัญประเทศ #ตลาดโรงเกลือ #เศรษฐกิจชายแดน #อาชญากรรมไซเบอร์ #ซิมเถื่อน #คุมสัญญาณมือถือ #ไตรรัตน์วิริยะศิริกุล #ความมั่นคงแห่งชาติ