เวทีประชุมพลังงานระดับโลก EnergyAsia 2025 ได้ส่งแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ไปทั่วทั้งภูมิภาค เมื่อรัฐบาลมาเลเซียใช้โอกาสนี้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนและทรงพลังที่สุดในรอบทศวรรษ ถึงการหวนคืนสู่การพิจารณา “พลังงานนิวเคลียร์” อย่างจริงจังในฐานะทางออกสำคัญ เพื่อนำพาประเทศบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2050 ท่าทีดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนภูมิทัศน์พลังงานของมาเลเซีย แต่ยังสะท้อนแนวโน้ม “การฟื้นตัวของพลังงานนิวเคลียร์” ที่กำลังก่อตัวขึ้นทั่วทั้งทวีปเอเชีย ท่ามกลางโจทย์ใหญ่ด้านความมั่นคงทางพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
กัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย – การประชุม EnergyAsia 2025 ซึ่งจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ระหว่างวันที่ 16-18 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมกัวลาลัมเปอร์ โดยมี PETRONAS บริษัทน้ำมันและก๊าซแห่งชาติของมาเลเซียเป็นเจ้าภาพหลัก ร่วมกับพันธมิตรด้านองค์ความรู้อย่าง CERAWeek by S&P Global ได้กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของอุตสาหกรรมพลังงานโลก ด้าน “พลังงานนิวเคลียร์” ภายใต้หัวข้อหลัก “ส่งมอบการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของเอเชีย” (Delivering Asia’s Energy Transition) งานนี้ได้รวบรวมผู้นำองค์กรพลังงานยักษ์ใหญ่ ผู้กำหนดนโยบาย และนักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อมาร่วมกันถอดรหัสอนาคตของระบบพลังงานที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์
ท่ามกลางหัวข้อการเสวนาที่ครอบคลุมตั้งแต่ตลาดก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) พลังงานหมุนเวียน ไปจนถึงเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ประเด็นที่ร้อนแรงและได้รับการจับตามองมากที่สุดกลับกลายเป็นเรื่องของ “พลังงานนิวเคลียร์” ซึ่งถูกจุดประกายขึ้นอย่างเป็นทางการโดยบุคคลสำคัญจากคณะรัฐมนตรีของมาเลเซียเอง
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในระหว่างวงเสวนาหัวข้อ “การส่งมอบการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของมาเลเซีย” (Delivering Malaysia’s Energy Transition) เมื่อ นายอัคมัล นัสรุลเลาะห์ โมห์ด นาซิร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการเปลี่ยนผ่านพลังงานและการปฏิรูปน้ำ (PETRA) ได้กล่าวถ้อยแถลงที่สร้างความสั่นสะเทือนต่อผู้เข้าร่วมประชุมและสื่อมวลชน โดยระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า
“หากปราศจากนิวเคลียร์ เราอาจไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย Net-Zero ได้ภายในปี 2050”
คำกล่าวนี้ถือเป็นการสิ้นสุดความคลุมเครือที่มีมานานหลายปีเกี่ยวกับจุดยืนของมาเลเซียต่อพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งเคยถูกหยิบยกมาพิจารณาและพับเก็บไปหลายครั้งในอดีต การส่งสัญญาณครั้งนี้จากรัฐบาลที่ชัดเจนถึงเพียงนี้ บ่งชี้ว่าพลังงานนิวเคลียร์ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเชิงทฤษฎีอีกต่อไป แต่ได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในแผนที่นำทางการเปลี่ยนผ่านพลังงานแห่งชาติ (National Energy Transition Roadmap – NETR) ของมาเลเซีย เพื่อแก้ปัญหา “ไตรโจทย์พลังงาน” (Energy Trilemma) นั่นคือการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงทางพลังงาน (Security) ราคาที่เข้าถึงได้ (Affordability) และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Sustainability) ซึ่งพลังงานนิวเคลียร์ในฐานะแหล่งผลิตไฟฟ้าฐาน (Baseload Power) ที่ปราศจากคาร์บอนและมีความเสถียรสูง สามารถเข้ามาตอบโจทย์นี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกเหนือจากท่าทีของฝั่งเจ้าภาพแล้ว บรรยากาศภายในงานยังตอกย้ำถึงแนวโน้ม “การฟื้นตัวของพลังงานนิวเคลียร์ในเอเชีย” (Nuclear Revival in Asia) ผ่านการจัดเสวนาในหัวข้อเดียวกัน ซึ่งได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม วงเสวนานี้ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรชั้นนำระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากสมาคมนิวเคลียร์โลก (World Nuclear Association), บริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยี, และนักวิชาการจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) เพื่อร่วมฉายภาพอนาคตของนิวเคลียร์ในบริบทของเอเชีย
หัวใจสำคัญของการฟื้นตัวครั้งนี้อยู่ที่การมาถึงของเทคโนโลยี เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล (Small Modular Reactors – SMRs) ซึ่งถูกกล่าวถึงซ้ำๆ ในหลายเวที SMRs กำลังเข้ามาเปลี่ยนมุมมองที่เคยมีต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิมไปโดยสิ้นเชิง ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นขนาดที่เล็กกว่า ทำให้สามารถก่อสร้างในพื้นที่จำกัดได้, การออกแบบเป็นโมดูลที่ผลิตจากโรงงานช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนการก่อสร้างหน้างาน, ระบบความปลอดภัยแบบ Passive Safety ที่พึ่งพาหลักการทางฟิสิกส์ธรรมชาติในการหยุดเครื่องปฏิกรณ์กรณีฉุกเฉิน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดของมนุษย์ และที่สำคัญที่สุดคือใช้เงินลงทุนเริ่มต้นต่ำกว่าโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายเท่า ทำให้ประเทศกำลังพัฒนามีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ง่ายขึ้น
ประเด็นด้านการลงทุนถือเป็นอีกหนึ่งมิติที่น่าสนใจ การประชุม EnergyAsia 2025 ไม่ได้มีเพียงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค แต่ยังเต็มไปด้วยตัวแทนจากสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลก สิ่งนี้สะท้อนว่าบทสนทนาเรื่องนิวเคลียร์ได้ขยับจากเรื่องทางวิศวกรรมไปสู่เรื่องเศรษฐศาสตร์และการเงินอย่างเต็มตัว มีการหารือถึงโมเดลการลงทุนรูปแบบใหม่ๆ สำหรับโครงการ SMRs เช่น ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) และการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารเพื่อการพัฒนาและสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งมองเห็นศักยภาพของนิวเคลียร์ในการเป็นพลังงานสะอาดที่สร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว
อย่างไรก็ตามเส้นทางสู่การเป็นชาติที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์ยังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย แม้เสียงสนับสนุนจะดังกึกก้องในศูนย์การประชุม แต่เสียงคัดค้านจากภาคประชาสังคม โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรต่อต้านนิวเคลียร์ของมาเลเซีย (MyCAN) ยังคงมีอยู่ ประเด็นเรื่องความปลอดภัย การจัดการกากกัมมันตรังสีซึ่งยังไม่มีคำตอบสุดท้ายที่ชัดเจนในระดับโลก และต้นทุนการรื้อถอนโรงไฟฟ้าเมื่อหมดอายุการใช้งาน ยังคงเป็นคำถามใหญ่ที่รัฐบาลต้องตอบให้ได้อย่างโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชน
นอกจากนี้ การสร้างกรอบกฎหมายและหน่วยงานกำกับดูแลที่มีความสามารถและเป็นอิสระถือเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดก่อนที่โครงการใดๆ จะสามารถเริ่มต้นได้ ซึ่งกระบวนการนี้ต้องใช้ทั้งเวลา ทรัพยากร และความมุ่งมั่นทางการเมืองอย่างแท้จริง
โดยสรุป การประชุม EnergyAsia 2025 ได้ทำหน้าที่เป็นเวทีประวัติศาสตร์ที่ส่งมอบสัญญาณแห่งอนาคตด้านพลังงานของภูมิภาคเอเชีย มันได้ผลักดันให้พลังงานนิวเคลียร์กลับคืนสู่บทสนทนาหลักอย่างสง่างามในฐานะทางเลือกที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป สำหรับมาเลเซีย นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ที่ต้องอาศัยการศึกษาอย่างรอบคอบ การวางแผนที่รัดกุม และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างฉันทามติร่วมกันของคนในชาติ แต่สำหรับทั้งภูมิภาคเอเชีย มันคือการยืนยันว่าในสงครามกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความไม่แน่นอนด้านพลังงาน อาวุธที่ชื่อว่า “นิวเคลียร์” กำลังถูกพิจารณานำกลับเข้าสู่สนามรบอีกครั้งหนึ่งอย่างเต็มรูปแบบ
#ข่าวเศรษฐกิจ #EnergyAsia2025 #พลังงานนิวเคลียร์ #มาเลเซีย #NetZero #SMR #การเปลี่ยนผ่านพลังงาน #ความมั่นคงทางพลังงาน #PETRONAS #การลงทุนพลังงาน #เศรษฐกิจเอเชีย #EnergyAsia #CERAWeek #EnergyTransition