‘ประเสริฐ’ สั่งลุยแก้ วิกฤตน้ำเหนือ เร่งสกัดสารพิษ-รับมืออุทกภัย

‘ประเสริฐ’ สั่งลุยแก้ วิกฤตน้ำเหนือ เร่งสกัดสารพิษ-รับมืออุทกภัย

“ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เชียงใหม่ เกาะติดสถานการณ์สารปนเปื้อนในแม่น้ำสายหลัก หวั่นกระทบเศรษฐกิจ-สุขภาพประชาชน สั่งทุกหน่วยงานเร่งแก้ปัญหาระยะสั้นและยาว พร้อมวางมาตรการเข้มรับมืออุทกภัยภาคเหนือ ปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน หลังนายกฯ แสดงความห่วงใยอย่างยิ่ง

เชียงใหม่, ประเทศไทย – สถานการณ์ด้านทรัพยากรน้ำในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนกำลังเผชิญกับความท้าทายสองด้านพร้อมกัน ทั้งวิกฤตคุณภาพน้ำจากสารปนเปื้อนข้ามพรมแดน และความเสี่ยงต่อปัญหาอุทกภัยในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องเข้ามาบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานราก สุขภาพของประชาชน และความเชื่อมั่นในภาพรวมของภูมิภาค

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และลำพูน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ณ สำนักงานชลประทานที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนจะลงพื้นที่สำรวจการขุดลอกแม่น้ำปิงด้วยตนเอง สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่รัฐบาลมอบให้กับปัญหานี้

เจาะลึกปัญหามลพิษข้ามพรมแดน: ภัยคุกคามสุขภาพและเศรษฐกิจภาคเหนือ

ประเด็นสำคัญที่สุดที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือคือ ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาสำคัญที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง โดยนายประเสริฐได้กล่าวในที่ประชุมว่า “ท่านนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อปัญหามลพิษข้ามพรมแดนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของประชาชน” คำกล่าวนี้เป็นการตอกย้ำถึงความเร่งด่วนของปัญหา ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่เป็นวิกฤตด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจที่อาจลุกลามเป็นวงกว้าง

จากการรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำ พบว่าในบางจุดยังคงมี “สารหนู” ปนเปื้อนในปริมาณที่เกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งสารดังกล่าวเป็นโลหะหนักอันตรายที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชนที่ใช้น้ำในการอุปโภคบริโภค และยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบเศรษฐกิจของท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นและอาจทวีความรุนแรงขึ้น ได้แก่:

  1. ภาคการเกษตรและประมง: เกษตรกรริมฝั่งแม่น้ำที่ต้องพึ่งพาน้ำในการเพาะปลูกมีความเสี่ยงที่ผลผลิตจะปนเปื้อนสารพิษ ทำให้ไม่สามารถจำหน่ายได้หรือราคาตกต่ำ สูญเสียรายได้และความน่าเชื่อถือในระยะยาว เช่นเดียวกับการประมงพื้นบ้านที่ปลาและสัตว์น้ำอาจลดจำนวนลงหรือปนเปื้อนจนไม่สามารถบริโภคได้
  2. ภาคการท่องเที่ยว: ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอาจลดลง ภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามอาจถูกบดบังด้วยข่าวสารด้านมลพิษ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง
  3. ต้นทุนด้านสาธารณสุข: รัฐและประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการตรวจสุขภาพ การรักษาพยาบาลโรคที่เกิดจากโลหะหนักสะสม ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่ต้องใช้เวลาและงบประมาณมหาศาลในการดูแล

ด้วยเหตุนี้ นายประเสริฐ จึงได้มีข้อสั่งการเชิงรุกในหลายมิติเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ:

  • มาตรการเร่งด่วน:

    • การเฝ้าระวังและแจ้งเตือน: มอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษเพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในพื้นที่เสี่ยง พร้อมทั้งสร้างระบบการเตือนภัยคุณภาพน้ำที่รวดเร็วและเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อให้สามารถรับมือและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ทันท่วงที
    • การดูแลสุขภาพประชาชน: สั่งการให้กรมควบคุมโรคและหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ เร่งตรวจสุขภาพและคัดกรองโรคจากสารหนูและโลหะหนักอื่นๆ ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเสี่ยง พร้อมติดตามผลอย่างเป็นระบบ
    • การจัดหาน้ำสะอาด: ให้การประปาส่วนภูมิภาคและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดหาน้ำดื่มสำรองที่สะอาดให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นการชั่วคราว
  • มาตรการระยะยาว:

    • การฟื้นฟูและป้องกัน: มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำเร่งศึกษาและออกแบบการสร้างฝายดักตะกอนและจุดชะลอน้ำ เพื่อกรองและลดการแพร่กระจายของสารปนเปื้อน
    • การสร้างความมั่นคงด้านแหล่งน้ำ: วางแผนจัดหาแหล่งน้ำดิบสำรองที่สะอาดและปลอดภัย พร้อมพัฒนาระบบประปาหมู่บ้านให้ได้มาตรฐาน
    • การเยียวยาทางเศรษฐกิจ: สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประเมินผลกระทบและกำหนดมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม
    • ความร่วมมือระหว่างประเทศ: มอบหมายให้ สทนช. ใช้กลไกความร่วมมือระดับนานาชาติ ทั้ง คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) และ กรอบความร่วมมือแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง (LMC) ในการเจรจาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างยั่งยืน เพื่อป้องกันไม่ให้สารพิษกระจายตัวสู่แม่น้ำโขง ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาระดับภูมิภาค

นายประเสริฐ

เตรียมความพร้อมเชิงรุก: รับมืออุทกภัย ปกป้องเศรษฐกิจภาคเหนือ

นอกเหนือจากปัญหามลพิษ การลงพื้นที่ครั้งนี้ยังให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าอาจมีฝนตกหนักในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ นายประเสริฐได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ 3 จังหวัดเป้าหมาย (เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน) ต้องเตรียมพร้อมในทุกมิติ เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนและพื้นที่เศรษฐกิจให้ได้มากที่สุด

นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. ได้ให้ข้อมูลสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำสำคัญว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถบริหารจัดการได้ โดย จังหวัดเชียงใหม่มีปริมาตรน้ำ 56% ของความจุ, เชียงราย 46% และลำพูน 59% ซึ่งยังคงมีพื้นที่รองรับน้ำฝนที่จะตกลงมาเพิ่มเติมได้อีกพอสมควร

อย่างไรก็ตาม มาตรการป้องกันเชิงโครงสร้างยังคงต้องเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการขุดลอกลำน้ำสายหลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ซึ่งมีความคืบหน้าดังนี้:

  • แม่น้ำรวก (ฝั่งไทย): ขุดลอกแล้วประมาณ 53%
  • แม่น้ำสาย (ฝั่งไทย): ก่อสร้างพนังกั้นน้ำแล้วประมาณ 61%
  • แม่น้ำสาย (ฝั่งเมียนมา): เริ่มดำเนินการขุดลอกแล้ว มีความคืบหน้าประมาณ 3%
  • แม่น้ำปิงและแม่น้ำกก: อยู่ระหว่างดำเนินการ และจะเร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

นายประเสริฐได้สั่งการให้หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดโครงการขุดลอกทั้งหมด พร้อมทั้งเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือให้พร้อมปฏิบัติการได้ทันทีหากเกิดสถานการณ์น้ำหลากฉับพลัน

การดำเนินงานทั้งหมดนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และนักลงทุน ว่ารัฐบาลมีความพร้อมในการบริหารจัดการความเสี่ยงและปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ การบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ การสื่อสารข้อมูลที่โปร่งใสไปยังประชาชน และการใช้กลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาภาคเหนือให้ก้าวข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างยั่งยืน

#เศรษฐกิจภาคเหนือ #วิกฤตน้ำ #สารปนเปื้อน #ประเสริฐจันทรรวงทอง #รัฐบาลเพื่อประชาชน #แก้ปัญหาน้ำท่วม #เชียงใหม่ #เชียงราย #แม่น้ำกก #แม่น้ำสาย #แม่น้ำโขง #การบริหารจัดการน้ำ

Related Posts