บาท แข็งค่า! ทะลุ 33 รับข่าวดีตะวันออกกลาง-เฟดจ่อ ลดดอกเบี้ย

บาท แข็งค่า! ทะลุ 33 รับข่าวดีตะวันออกกลาง-เฟดจ่อ ลดดอกเบี้ย

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCBFM) เผยค่าเงิน บาท วันนี้ (24 มิ.ย. 68) แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เคลื่อนไหวในกรอบ 32.65-32.90 บาทต่อดอลลาร์ รับปัจจัยบวกสองเด้ง ทั้งสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่คลี่คลาย หลังสหรัฐฯ ประกาศข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิหร่านและอิสราเอล และสัญญาณชัดเจนจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่พร้อมจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคมนี้ ส่งผลให้นักลงทุนคลายกังวลและหันกลับเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง ดอลลาร์อ่อนค่า และราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงแรง

สองปัจจัยหลักหนุน บาท แข็งค่า

วันที่ 24 มิถุนายน 2568 – ค่าเงิน บาท ของไทยเปิดตลาดแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยกลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets) ได้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวสำหรับวันนี้ไว้ที่ 32.65-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลพวงโดยตรงจากปัจจัยบวกสำคัญ 2 ประการที่เกิดขึ้นพร้อมกันและส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดการเงินโลกอย่างชัดเจน

1. สันติภาพในตะวันออกกลาง: ปัจจัยเปลี่ยนเกมตลาดการเงิน

ปัจจัยหนุนแรกและเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบฉับพลันที่สุด คือ การประกาศโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ว่าอิหร่านและอิสราเอลได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ข่าวดังกล่าวถือเป็นข่าวดีที่เหนือความคาดหมายของตลาด และได้เข้ามาสลายความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่คุกรุ่นอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางมาอย่างยาวนาน

ผลกระทบที่เกิดขึ้นทันที คือ การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกไปสู่ภาวะ “เปิดรับความเสี่ยง” (Risk-On) อย่างรวดเร็ว นักลงทุนคลายความกังวลและลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “เงินดอลลาร์สหรัฐ” การที่นักลงทุนเทขายดอลลาร์เพื่อโยกย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทย ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ (Dollar Index) ปรับตัวอ่อนค่าลง และเป็นแรงหนุนโดยตรงให้ค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคแข็งค่าขึ้น

นอกจากนี้ การคลี่คลายของสถานการณ์ดังกล่าวยังส่งผลให้ “ราคาน้ำมันดิบ” ในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความกังวลต่ออุปทานน้ำมันจากตะวันออกกลางลดน้อยลง สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันสุทธิ การที่ราคาน้ำมันดิบลดลงถือเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยลดต้นทุนการนำเข้า ลดแรงกดดันต่อดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด และท้ายที่สุดคือช่วยลดความต้องการใช้เงินดอลลาร์เพื่อชำระค่าสินค้านำเข้า ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นได้อีกทางหนึ่ง

2. สัญญาณชัดเจนจาก “เฟด” จ่อลดดอกเบี้ยเดือนกรกฎาคม

ปัจจัยหนุนที่สำคัญไม่แพ้กัน มาจากการส่งสัญญาณที่ชัดเจนจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยนางมิเชล โบว์แมน ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานเฟด ได้ออกมากล่าวสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้

นางโบว์แมนให้เหตุผลว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้แล้ว ขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นการดำเนินการเชิงรุกเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานและสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปได้อย่างยั่งยืน

คำกล่าวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดครั้งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาดการเงิน เพราะเป็นการตอกย้ำมุมมองของตลาดที่คาดการณ์ว่าเฟดใกล้จะยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นและกำลังจะเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินไปสู่การผ่อนคลายมากขึ้น การลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ แคบลง ซึ่งจะลดแรงจูงใจของนักลงทุนในการถือครองเงินดอลลาร์ และกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Capital Flow) มายังตลาดเกิดใหม่ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า เช่น ประเทศไทย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแรงส่งสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น

การเคลื่อนไหวในยุโรปและภาพรวมเศรษฐกิจโลก

นอกเหนือจากสองปัจจัยหลักข้างต้น ยังมีอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาในฟากฝั่งยุโรป คือการที่เยอรมนี ซึ่งเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในยูโรโซน เตรียมที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมขึ้นสู่ระดับ 3.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า

แม้ข่าวนี้อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทโดยตรงในระยะสั้น แต่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงในยุโรป ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการคลังและเศรษฐกิจในระยะยาว การทุ่มงบประมาณมหาศาลในภาคการป้องกันประเทศของเยอรมนีอาจเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างคำถามถึงความยั่งยืนทางการคลังในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่นักลงทุนในภาพใหญ่ต้องนำมาพิจารณาในการประเมินเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก

บทวิเคราะห์และแนวโน้มสำหรับผู้ประกอบการ

การแข็งค่าของเงินบาทในรอบนี้ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากทั้งปัจจัยภายนอกที่คลี่คลายและความชัดเจนของนโยบายการเงินสหรัฐฯ ได้สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายให้กับภาคธุรกิจไทย

  • กลุ่มผู้นำเข้า: การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นถือเป็นข่าวดีโดยตรง เพราะทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้า วัตถุดิบ และเครื่องจักรจากต่างประเทศถูกลง ซึ่งอาจช่วยเพิ่มอัตรากำไร หรือเปิดโอกาสให้สามารถทำราคาที่แข่งขันได้มากขึ้นในตลาดภายในประเทศ
  • กลุ่มผู้ส่งออก: ในทางกลับกัน ผู้ส่งออกจะต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้รายรับในรูปของเงินตราต่างประเทศ เมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทแล้วจะมีมูลค่าลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาและบั่นทอนกำไร ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาเครื่องมือบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เช่น การทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) เพื่อล็อกเรตอัตราแลกเปลี่ยนและลดความผันผวน

โดยสรุป สถานการณ์ค่าเงินบาทในปัจจุบันมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องในระยะสั้น โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 32.65-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ตามการประเมินของ SCBFM เป็นแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการและนักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจัยขับเคลื่อนหลักอย่างข้อตกลงหยุดยิงในตะวันออกกลางยังคงมีความเปราะบาง และทิศทางของตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอนาคตก็อาจส่งผลให้มุมมองของเฟดเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การปรับตัวและวางแผนรับมือกับความผันผวนจึงยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสภาวะตลาดการเงินโลกในปัจจุบัน

#ค่าเงินบาท #บาทแข็งค่า #SCBFM #ธนาคารไทยพาณิชย์ #เศรษฐกิจไทย #เฟด #ลดดอกเบี้ย #นโยบายการเงิน #ตลาดการเงิน #ราคาน้ำมัน #อิหร่าน #อิสราเอล #เศรษฐกิจโลก

Related Posts