เอสซีจี (SCG) ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญอีกครั้ง ด้วยการติดอันดับที่ 21 ในการจัดอันดับ “Fortune Southeast Asia 500” ประจำปี 2568 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สะท้อนภาพความแข็งแกร่งและศักยภาพการเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ความสำเร็จนี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขที่น่าประทับใจ แต่คือบทพิสูจน์ของวิสัยทัศน์ที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแนวทาง ESG และการสร้างเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านนวัตกรรมสีเขียวที่ตอบโจทย์โลกและผู้บริโภคยุคใหม่
เอสซีจี หนึ่งในองค์กรธุรกิจชั้นนำของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ได้รับการยอมรับในเวทีระดับนานาชาติอีกครั้ง โดยนิตยสาร Fortune ได้เปิดเผยรายชื่อ 500 บริษัทที่มีรายได้สูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ “Fortune Southeast Asia 500” ประจำปี 2568 ซึ่งเอสซีจีได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 21 การรักษาตำแหน่งในกลุ่มบริษัทชั้นนำต่อเนื่องเป็นปีที่สองนี้ ถือเป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน
ความสำเร็จดังกล่าวเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งขององค์กร ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบ ESG (Environmental, Social, and Governance) ที่ถูกผสานเป็นเนื้อเดียวกับการพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ESG: หัวใจแห่งการเติบโตที่ยั่งยืนของเอสซีจี
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เอสซีจีโดดเด่นในเวทีระดับภูมิภาคคือการยึดมั่นในแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ ESG ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงนโยบายเสริม แต่เป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ
-
ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental): เอสซีจีแสดงความโดดเด่นอย่างชัดเจนผ่านการพัฒนานวัตกรรมกรีน (Green Innovation) เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีผลิตภัณฑ์เรือธงอย่าง “ปูนเอสซีจีคาร์บอนต่ำ” ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาสู่เจเนอเรชันที่ 3 (Gen 3) ที่ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตได้ถึงประมาณ 40% นวัตกรรมนี้ไม่เพียงตอบสนองต่อเทรนด์การก่อสร้างสีเขียวทั่วโลก แต่ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาสภาวะภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม การมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนี้ ยังขยายไปสู่กลุ่มสินค้าอื่นๆ เพื่อสร้างทางเลือกที่ยั่งยืนให้แก่ผู้บริโภค
-
ด้านสังคม (Social): เอสซีจีให้ความสำคัญกับการสร้างองค์กรที่เปิดกว้างและเท่าเทียม ผ่านแนวคิด “องค์กรแห่งโอกาสสำหรับทุกคน” (Organization of Possibilities) ซึ่งมุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมความหลากหลายและยอมรับความแตกต่าง เปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อจำกัด นำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความแข็งแกร่งขององค์กรจากภายใน
-
ด้านธรรมาภิบาล (Governance): เพื่อรับมือกับความท้าทายและความผันผวนของตลาดโลก เอสซีจีได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานสู่การเป็น “องค์กรที่คล่องตัว” (Agile Organization) ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการปรับตัวและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและลูกค้าได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงมาประยุกต์ใช้เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดต้นทุน และลดของเสีย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล
เจาะลึกความสำคัญของ Fortune Southeast Asia 500
การจัดอันดับ Fortune Southeast Asia 500 โดยนิตยสาร Fortune ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ได้กลายเป็นมาตรวัดสำคัญที่สะท้อนพลวัตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ การจัดอันดับพิจารณาจากรายได้ของบริษัทในปีงบประมาณ 2567 โดยครอบคลุมบริษัทจาก 7 ประเทศเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย, ไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา
ในปีล่าสุด บริษัททั้ง 500 แห่งในรายชื่อสามารถสร้างรายได้รวมกันมหาศาลถึง 1.82 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อนหน้าที่ 1.79 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นถึงความยืดหยุ่น (Resilience) และศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก การที่เอสซีจีเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทชั้นนำนี้ จึงไม่เพียงแต่เป็นความสำเร็จของบริษัท แต่ยังสะท้อนถึงบทบาทที่สำคัญของบริษัทไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
นิตยสาร Fortune ระบุว่า การจัดอันดับนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะศูนย์กลางสำคัญของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) ที่กำลังปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เอสซีจีได้แสดงความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนานี้และยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนเพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคไปสู่อนาคต
กลยุทธ์เชิงรุก: ต่อยอดนวัตกรรมสู่ตลาดโลก
นอกเหนือจากการพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนแล้ว เอสซีจียังมีกลยุทธ์เชิงรุกในการขยายตลาดเพื่อสร้างการเติบโตใหม่ๆ โดยบริษัทกำลังมองหาโอกาสในการส่งออกสินค้าที่มีศักยภาพไปยังตลาดใหม่ๆ ทั่วโลก สินค้าเป้าหมายประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับเทรนด์ความยั่งยืนและความต้องการของตลาดสมัยใหม่ อาทิ:
- ปูนเอสซีจีคาร์บอนต่ำ: ตอบโจทย์โครงการก่อสร้างที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
- กระเบื้องคอนกรีต และ สมาร์ทบอร์ด: วัสดุก่อสร้างคุณภาพสูงและทนทาน
- กระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อาหาร: รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม E-commerce และบริการส่งอาหารที่ต้องการบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัย
การขยายตลาดส่งออกนี้เป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจและเป็นการแสวงหาโอกาสการเติบโตในประเทศที่มีศักยภาพ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับรายได้และผลกำไรของบริษัทในระยะยาว
ทั้งนี้ การที่เอสซีจีได้รับการจัดอันดับที่ 21 ใน Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2568 เป็นปีที่สองติดต่อกัน คือเครื่องยืนยันที่ชัดเจนถึงความสำเร็จของวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ถูกต้องและมองการณ์ไกล การผสานแนวคิด ESG เข้ากับการพัฒนานวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง การสร้างองค์กรที่คล่องตัวและเปิดกว้างสำหรับทุกคน ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ได้ส่งให้เอสซีจีไม่เพียงแต่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในประเทศ แต่ยังโดดเด่นในฐานะผู้เล่นคนสำคัญที่พร้อมจะแข่งขันและเติบโตเคียงคู่ไปกับเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
#SCG #เอสซีจี #FortuneSoutheastAsia500 #ESG #ธุรกิจยั่งยืน #นวัตกรรม #เศรษฐกิจอาเซียน #ปูนคาร์บอนต่ำ #SCGGreenChoice #องค์กรแห่งโอกาส #AgileOrganization #เศรษฐกิจไทย #การเติบโตที่ยั่งยืน