ครม. อนุมัติงบ 2,055 ล้านบาท เดินหน้าเจ้าภาพซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 ปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 คาดเม็ดเงินสะพัดกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว 3 จังหวัดเจ้าภาพหลัก กรุงเทพฯ-ชลบุรี-สงขลา และเมืองย่าโม นครราชสีมา พร้อมดึงท้องถิ่นร่วมจัดยิ่งใหญ่ในรอบ 18 ปี
คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณจำนวน 2,055 ล้านบาท สำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬา ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เสนอ ซึ่งนับเป็นการกลับมาเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาระดับภูมิภาคของประเทศไทยในรอบ 18 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อแสดงศักยภาพของประเทศ สร้างความเชื่อมั่น และใช้กีฬาเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศ
การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการอนุมัติตัวเลขงบประมาณ แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อภาคเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเจ้าภาพหลักที่จะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการจับจ่ายใช้สอยของนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และนักท่องเที่ยวที่จะหลั่งไหลเข้ามาในช่วงเวลาการแข่งขัน
เจาะลึกโครงสร้างงบประมาณ 2,055 ล้านบาท
สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณ 2,055 ล้านบาทที่ได้รับอนุมัติ ได้มีการวางแผนแหล่งที่มาและการใช้จ่ายอย่างละเอียด เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและประสิทธิภาพสูงสุด โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้
-
งบประมาณรายจ่ายประจำปี (ปี 2568-2569): 1,500.640 ล้านบาท
- งบประมาณปี พ.ศ. 2568: 157.000 ล้านบาท
- งบประมาณปี พ.ศ. 2569: 1,343.640 ล้านบาท
- งบประมาณส่วนนี้ถือเป็นงบประมาณหลักที่มาจากภาครัฐ เพื่อใช้ในการดำเนินงานจัดการแข่งขันในภาพรวม ทั้งในด้านการเตรียมความพร้อมสนาม การบริหารจัดการ และการอำนวยความสะดวกต่างๆ
-
เงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ: 400 ล้านบาท
- เงินจากกองทุนฯ จะถูกนำมาใช้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในระยะเริ่มต้น และภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานักกีฬาและบุคลากรกีฬาให้มีความพร้อมสูงสุดสำหรับการแข่งขัน
-
ประมาณการรายได้จากการจัดสิทธิประโยชน์: 154.360 ล้านบาท
- กกท. ตั้งเป้าหมายในการหารายได้เพื่อลดภาระงบประมาณแผ่นดิน โดยคาดการณ์รายได้จากหลายช่องทาง ประกอบด้วย:
- การจัดหารายได้สิทธิประโยชน์ (Sponsorship): 20.000 ล้านบาท
- ค่าจำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขัน: 5.000 ล้านบาท
- ค่าลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์: 115.500 ล้านบาท
- ค่าลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์: 13.860 ล้านบาท
- กกท. ตั้งเป้าหมายในการหารายได้เพื่อลดภาระงบประมาณแผ่นดิน โดยคาดการณ์รายได้จากหลายช่องทาง ประกอบด้วย:
นอกจากนี้ ครม. ยังได้อนุมัติหลักการให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถมีส่วนร่วมสนับสนุนค่าใช้จ่ายหรือดำเนินกิจกรรมอื่นๆ เพื่อส่งเสริมการจัดการแข่งขันได้ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นได้แสดงศักยภาพและมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าบ้านที่ดี อันจะนำไปสู่การกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง
ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ: เม็ดเงินสะพัดสู่ 4 จังหวัดเจ้าภาพ
การเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาทั้งสองรายการคาดว่าจะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในจังหวัดเจ้าภาพหลัก 4 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล, จังหวัดชลบุรี, จังหวัดสงขลา และจังหวัดนครราชสีมา
- ภาคการท่องเที่ยวและบริการ: โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการหลั่งไหลเข้ามาของคณะนักกีฬา สื่อมวลชน เจ้าหน้าที่จาก 11 ชาติสมาชิก และแฟนกีฬาที่จะเดินทางมายังจังหวัดเจ้าภาพ ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้หมุนเวียนในภาคส่วนนี้เป็นจำนวนมาก
- การจ้างงาน: การเตรียมการและการจัดการแข่งขันจะก่อให้เกิดการจ้างงานชั่วคราวจำนวนมาก ตั้งแต่บุคลากรฝ่ายจัดการแข่งขัน อาสาสมัคร ไปจนถึงแรงงานในภาคบริการและการก่อสร้างเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่
- การพัฒนโครงสร้างพื้นฐาน: งบประมาณส่วนหนึ่งจะถูกใช้ไปกับการปรับปรุงสนามแข่งขันและสิ่งอำนวยความสะดวกให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งจะกลายเป็นมรดก (Legacy) ทางการกีฬาที่ยั่งยืน ให้คนในพื้นที่ได้ใช้ประโยชน์ต่อไปในอนาคต
- ธุรกิจท้องถิ่นและ SMEs: สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าที่ระลึก และผลิตภัณฑ์ OTOP ของแต่ละจังหวัดเจ้าภาพ จะมีโอกาสทางการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนและส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย
ปักหมุดวันแข่งขันและชนิดกีฬา: กระจายสู่ 3 ภูมิภาค
เพื่อกระจายประโยชน์และแสดงศักยภาพของประเทศไทยในหลายมิติ การแข่งขันจึงถูกกำหนดจัดขึ้นในหลายพื้นที่ ครอบคลุมทั้งภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้
1. การแข่งขันกีฬา ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (9 – 20 ธันวาคม 2568)
- กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (31 ชนิดกีฬา): เป็นศูนย์กลางหลักของการแข่งขัน อาทิ กีฬาทางน้ำ, กรีฑา, แบดมินตัน, บาสเกตบอล, มวยสากล, อีสปอร์ต, ฟุตบอล, ยิมนาสติก, เทควันโด และวอลเลย์บอล
- จังหวัดชลบุรี (16 ชนิดกีฬา): เมืองกีฬา (Sports City) จะรับหน้าที่จัดกีฬาทางน้ำ (ว่ายน้ำมาราธอน), เรือใบ-วินด์เซิร์ฟ, เจ็ตสกี, ไตรกีฬา, จักรยานเสือภูเขา และยกน้ำหนัก เป็นต้น
- จังหวัดสงขลา (9 ชนิดกีฬา): ประตูสู่ภาคใต้ จะเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาที่ได้รับความนิยมในพื้นที่ เช่น มวย, ปันจักสีลัต, วูซู, ยูโด และกาบัดดี้
2. การแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 (20 – 26 มกราคม 2569)
- จังหวัดนครราชสีมา (18 ชนิดกีฬา): ด้วยประสบการณ์จากการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ปี 2550 จะกลับมาเป็นเจ้าภาพหลักอีกครั้ง จัดการแข่งขันกีฬาคนพิการเกือบทุกชนิด อาทิ กรีฑา, ว่ายน้ำ, วีลแชร์บาสเกตบอล, วีลแชร์เทนนิส, บอคเซีย และฟุตบอลคนตาบอด
- กรุงเทพมหานคร (1 ชนิดกีฬา): รับหน้าที่จัดการแข่งขันโบว์ลิ่ง
แผนเตรียมความพร้อมรอบด้าน สู่มาตรฐานสากล
กกท. ได้วางแผนการเตรียมความพร้อมในทุกมิติเพื่อให้การจัดการแข่งขันเป็นไปอย่างราบรื่นและน่าประทับใจที่สุด
- ด้านสนามแข่งขัน: มีการตรวจสอบและปรับปรุงสนามให้ได้มาตรฐานตามข้อกำหนดของสหพันธ์กีฬานานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกแบบและปรับปรุงสนามสำหรับกีฬาคนพิการให้มีความเหมาะสม (Universal Design) เช่น การติดตั้งทางลาดและราวจับ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
- ด้านบุคลากร: จัดอบรมพัฒนาบุคลากรทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้มีความเชี่ยวชาญในการจัดการแข่งขันระดับนานาชาติ พร้อมส่งเสริมบุคลากรที่มีประสบการณ์เฉพาะทาง เพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดงาน
- ด้านการถ่ายทอดสด: มอบหมายให้สถานีโทรทัศน์เพื่อการท่องเที่ยวและกีฬา T-Sports 7 เป็นสถานีหลักในการถ่ายทอดสด พร้อมเตรียมเทคโนโลยีและทีมงานมืออาชีพ เพื่อให้แฟนกีฬาทั่วทั้งภูมิภาคได้รับชมภาพและเสียงที่คมชัด สร้างประสบการณ์ร่วมที่น่าประทับใจ
การกลับมาเป็นเจ้าภาพซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การจัดอีเวนต์กีฬา แต่เป็นยุทธศาสตร์ชาติที่ใช้ “กีฬา” นำการพัฒนา ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยบนเวทีโลก
#ซีเกมส์2568 #SEAGames2025 #อาเซียนพาราเกมส์2025 #AseanParaGames2025 #งบประมาณซีเกมส์ #เศรษฐกิจไทย #SportsTourism #ThailandHost #กกท #กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา #กรุงเทพมหานคร #ชลบุรี #สงขลา #นครราชสีมา