เมื่อโรงงานก๊าซ MLNG วัย 42 ปี ขับเคลื่อนด้วย 5G, AI และกองทัพรถ EV

เมื่อโรงงานก๊าซ MLNG วัย 42 ปี ขับเคลื่อนด้วย 5G, AI และกองทัพรถ EV

ในภาพจำของคนส่วนใหญ่ นิคมอุตสาหกรรมหนักมักจะเต็มไปด้วยภาพของปล่องควัน, เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ และกระบวนการทำงานแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมานานหลายทศวรรษ แต่ที่เมืองบินตูลู รัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย ภาพจำเหล่านั้นกำลังถูกท้าทายและเขียนขึ้นใหม่โดย Malaysia LNG (MLNG) โรงงานผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ The Petronas LNG Complex ที่มีอายุยาวนานถึง 42 ปี ซึ่งในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมพลังงาน แต่ยังได้กลายร่างเป็น “Smart Factory” ต้นแบบที่น่าจับตามองที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค

ใครจะคาดคิดว่าภายในอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่กว่า 300 เฮกตาร์ของโรงงานแห่งนี้ จะมีเครือข่าย 5G ส่วนตัว (Private 5G Network) ที่ครอบคลุมทุกตารางนิ้ว, มีกองทัพรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เกือบ 50 คันวิ่งให้บริการอยู่ภายใน และมีระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังถูกพัฒนาให้เข้ามาช่วยบริหารจัดการกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน นี่คือเรื่องราวของการปฏิรูปทางดิจิทัล (Digital Transformation) ที่เกิดขึ้นจริงในองค์กรระดับตำนาน (Legacy) ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “อายุ” ไม่ใช่อุปสรรคของการนำนวัตกรรมมาปรับใช้ แต่กลับเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้เทคโนโลยีทรงพลังยิ่งขึ้น

บทความนี้จะพาผู้อ่านทุกท่าน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในแวดวงเทคโนโลยีและวิศวกรรม ไปสำรวจเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ผ่านคำบอกเล่าของ Laga Jenggi กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ MLNG แห่ง ปิโตรนาส เพื่อค้นหาว่าโรงงานที่เปรียบเสมือนปูชนียบุคคลแห่งวงการ LNG สามารถผสานรวมเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับการดำเนินงานที่มีมาอย่างยาวนานได้อย่างไร และมีบทเรียนอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้

เครือข่าย 5G ส่วนตัว: เส้นเลือดดิจิทัลบนพื้นที่ 300 เฮกตาร์

จุดเริ่มต้นของการปฏิรูปทั้งหมด เกิดขึ้นจากความท้าทายด้านขนาดและโครงสร้าง Laga Jenggi อธิบายว่า “นิคมแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก ประมาณ 300 เฮกตาร์ (ราว 1,875 ไร่) การที่จะมีเครือข่ายส่วนตัวที่ครอบคลุมและเชื่อถือได้ วิธีเดียวที่เราทำได้คือการมี 5G เป็นของตัวเอง”

เครือข่าย 5G ของ MLNG ไม่ใช่เพียงของเล่นหรือโครงการนำร่องที่ทำขึ้นเพื่อการประชาสัมพันธ์ แต่มันได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญที่สุด และได้เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของพนักงานไปอย่างสิ้นเชิง ในอดีต วิศวกรและช่างเทคนิคที่ต้องออกไปตรวจสอบเครื่องจักรในพื้นที่ต่างๆ จะต้องพกพากระดาษเช็กลิสต์และคลิปบอร์ด เมื่อเสร็จงานก็ต้องนำเอกสารกลับมาที่สำนักงานเพื่อสแกนและอัปโหลดเข้าระบบ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและเสี่ยงต่อการผิดพลาด

แต่ในวันนี้ ภาพเหล่านั้นได้หายไปแล้ว “ตอนนี้เราใช้แท็บเล็ต และทุกอย่างเป็นดิจิทัล เราไม่ใช้กระดาษเช็กลิสต์แบบแมนนวลอีกต่อไป” Laga กล่าว พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น, กรอกแบบฟอร์ม, ถ่ายรูปแนบเพื่อเป็นหลักฐาน และอัปโหลดทุกอย่างเข้าระบบได้ทันทีจากทุกจุดของโรงงานผ่านเครือข่าย 5G ที่รวดเร็วและเสถียร

“มันทำให้คนทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคุณไม่ต้องเสียเวลาสแกนหรืออัปโหลดอะไรอีกแล้ว ทุกอย่างอยู่ในระบบทันที”

การลงทุนใน Private 5G จึงเปรียบเสมือนการสร้าง “ทางด่วนดิจิทัล” ที่เป็นรากฐานสำคัญ ช่วยให้ MLNG สามารถต่อยอดไปสู่การนำเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ต้องการการเชื่อมต่อความเร็วสูงและมีความหน่วงต่ำ (Low Latency) เข้ามาใช้ในอนาคตได้อย่างไร้ขีดจำกัด มันคือการลงทุนที่มองการณ์ไกล เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับโรงงานอัจฉริยะในทศวรรษหน้า

จากข้อมูลสู่อัจฉริยภาพ: AI, Machine Learning และโรงงานที่คิดได้เอง

เมื่อมี “ทางด่วน” ที่แข็งแกร่งแล้ว ขั้นต่อไปคือการนำ “รถยนต์อัจฉริยะ” เข้ามาวิ่งบนเส้นทางนั้น MLNG กำลังอยู่ในช่วงของการนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานอย่างจริงจัง โดยเริ่มต้นจากสิ่งที่จับต้องได้และเห็นผลชัดเจน

“เรากำลังเริ่มใช้ Smart Sensors ที่ติดตั้งบนมอเตอร์” Laga อธิบาย “ทำให้คุณสามารถรู้สถานะของมอเตอร์ได้จากระยะไกล คุณสามารถเข้าไปดู ‘Digital Dashboard’ ของเราเพื่อตรวจสอบสุขภาพของมอเตอร์ได้เลย” นี่คือตัวอย่างการนำ Internet of Things (IoT) มาใช้ในเชิงรุก เพื่อเปลี่ยนการบำรุงรักษาจากแบบ “Reactive” (ซ่อมเมื่อเสีย) ไปสู่แบบ “Predictive” (คาดการณ์และป้องกันก่อนที่จะเสีย) ซึ่งช่วยลด Downtime และประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างมหาศาล

แต่ก้าวที่น่าตื่นเต้นที่สุด คือการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาควบคุมกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน Laga เล่าถึงความท้าทายที่เขาเคยให้กับทีมงานว่า “ผมท้าทายกลุ่ม Group Digital และ Group Technical Solution ของเราให้หาระบบอัตโนมัติมาใช้ เราต้องทำให้เป็นอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Full Automation) หรือไม่ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย”

ผลลัพธ์คือความสำเร็จในการสร้างระบบอัตโนมัติแบบ “Full Closed Loop” ซึ่งเป็นระบบที่ Machine Learning สามารถเรียนรู้และปรับเปลี่ยนค่าต่างๆ ในกระบวนการผลิตได้เองเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยที่มนุษย์ทำหน้าที่เพียงแค่เฝ้าสังเกตการณ์

“นี่คือหนึ่งในความสำเร็จแรกๆ ที่ทำให้พนักงานเชื่อว่า เราสามารถบริหารจัดการนิคมที่ซับซ้อนแห่งนี้ได้ในวิธีที่แตกต่างและดีกว่าเดิม”

วิสัยทัศน์ของ Laga ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เขายังกล่าวติดตลกกับทีมงานว่า “บางทีเราน่าจะมี AI มาควบคุมโรงงานทั้งหมดนี้เลยนะ จะได้ไม่ต้องมีคน” แม้จะเป็นการพูดเชิงขำขัน แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของเทคโนโลยี และทิศทางที่ MLNG กำลังมุ่งไปในอนาคต

กองทัพรถ EV และ Smart Campus: เมื่อความยั่งยืนคือส่วนหนึ่งของนวัตกรรม

นวัตกรรมที่ MLNG ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกระบวนการผลิต แต่ยังครอบคลุมไปถึงการดำเนินงานในชีวิตประจำวัน ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดผ่าน กองทัพรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จำนวน 45 คัน พร้อมสถานีชาร์จอีก 46 แห่ง ที่ให้บริการอยู่ภายในโรงงาน

“เราตัดสินใจที่จะนำรถ EV เหล่านี้มาใช้ เพราะมันมีความหมายในการขับเคลื่อนประเด็นเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” Laga กล่าว การใช้รถ EV เหล่านี้ซึ่งมีไว้สำหรับใช้ภายในโรงงานเท่านั้น คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงประมาณ 100,000 ตันต่อปี

โครงการนี้เป็นความร่วมมือกับ Gentari ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Petronas ที่มุ่งเน้นธุรกิจด้านพลังงานสะอาดและ EV โดยตรง Laga กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เราอาจจะเป็นพื้นที่แห่งเดียวที่ใหญ่ที่สุด หรืออาจจะใหญ่เป็นอันดับสอง ที่มีสถานีชาร์จ EV มากขนาดนี้… แม้ว่าในเมืองบินตูลูจะยังมีรถ EV น้อยมาก แต่ส่วนใหญ่อยู่ที่นี่”

การมีอยู่ของกองทัพรถ EV เป็นมากกว่าแค่การเปลี่ยนยานพาหนะ แต่มันคือการสร้างวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมแบบ “Smart Campus” ที่ซึ่งนวัตกรรมและความยั่งยืนถูกผสานรวมเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นการส่งสารที่ชัดเจนไปยังพนักงานและสาธารณชนว่า MLNG ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง และพร้อมที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในภาพรวมก็ตาม

บทสรุป: เทคโนโลยีเพื่อ ‘ปลดล็อก’ ศักยภาพมนุษย์

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คำถามที่พนักงานหลายคนกังวลคือ “ถ้าทุกอย่างเป็นอัตโนมัติ แล้วเราจะทำอะไร?” Laga Jenggi ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนและเป็นหัวใจสำคัญของวิสัยทัศน์ในการทำ Digital Transformation ของ MLNG

“มันยังมีงานที่มีความหมายอื่นๆ อีกมากที่เราจะให้คุณทำ แต่ไม่ใช่งานที่ต้องทำซ้ำๆ ด้วยมือ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มมากนัก แต่มันคือการปลดปล่อยเวลาของพวกเขาให้เป็นอิสระ เพื่อไปทำสิ่งอื่นเมื่อพวกเขามีประสิทธิภาพมากขึ้น”

นี่คือบทสรุปที่ทรงพลังที่สุด การนำเทคโนโลยี 5G, AI, IoT หรือแม้กระทั่งรถ EV เข้ามาใช้ที่MLNG ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อ “แทนที่” มนุษย์ แต่เพื่อ “เสริมศักยภาพ” (Augment) และ “ปลดล็อก” (Unlock) พนักงานที่มีประสบการณ์ยาวนาน ให้สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยขึ้น, มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถทุ่มเทสติปัญญาไปกับงานที่ต้องใช้การวิเคราะห์และการตัดสินใจที่ซับซ้อน

เรื่องราวของ Smart Factory ณ เมืองบินตูลู คือกรณีศึกษาที่ยอดเยี่ยมสำหรับองค์กรทุกแห่ง ที่แสดงให้เห็นว่าการปฏิรูปทางดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การไล่ตามเทคโนโลยีล่าสุดอย่างไร้ทิศทาง แต่คือการผสานรวมพลังของ “คน” ที่มีประสบการณ์ เข้ากับ “เครื่องมือ” ที่ทรงพลัง เพื่อสร้างอนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับองค์กร และเตรียมความพร้อมสำหรับความท้าทายในอีก 40 ปีข้างหน้า

#SmartFactory #DigitalTransformation #5G #AI #IoT #นวัตกรรม #โรงงานอัจฉริยะ #อุตสาหกรรม4จุด0 #MLNG #Petronas #เทคโนโลยี #ความยั่งยืน #รถยนต์ไฟฟ้าEV

Related Posts