ศรีจันทร์ ผงาด! โกยรายได้ 1,600 ล้าน ชูธง T-Beauty บุกตลาดโลก

ศรีจันทร์ ผงาด! โกยรายได้ 1,600 ล้าน ชูธง T-Beauty บุกตลาดโลก

ศรีจันทร์ ประกาศศักดาแบรนด์ไทย โชว์การเติบโตแบบก้าวกระโดด กวาดรายได้ทะลุ 1,600 ล้านบาทในปี 2567 ผงาดขึ้นแท่นแบรนด์ไทยอันดับ 1 ในตลาดสกินแคร์กลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์ พร้อมเปิด 5 กลยุทธ์ “Purposeful Brand” สร้างแบรนด์ไทยที่คนไทยภาคภูมิใจ ประกาศรุ่งอรุณแห่งยุค T-Beauty มั่นใจศักยภาพเครื่องสำอางไทย เตรียมขยายตลาดสู่สากล ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ 10-15% ภายใน 3 ปี

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – บริษัท ศรีจันทร์ สหโอสถ จำกัด แบรนด์เครื่องสำอางไทยระดับตำนานที่ยืนหยัดเคียงข้างคนไทยมากว่า 76 ปี ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญให้กับวงการธุรกิจความงามของไทย ด้วยการประกาศความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจช่วงปี 2564-2567 ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องสวนกระแสความท้าทายทางเศรษฐกิจ ล่าสุดสามารถสร้างรายได้รวมสูงถึง 1,600 ล้านบาทในปี 2567 ตอกย้ำความสำเร็จในการเป็น “Purposeful Brand” ที่ไม่ได้มุ่งแค่การเติบโตทางธุรกิจ แต่ตั้งเป้าที่จะเป็น “แบรนด์ไทยระดับสากลที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย”

นายรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จํากัด เปิดเผยว่า “แม้ในช่วงปี 2564-2567 จะต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด-19 แต่บริษัทสามารถปรับตัวและพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในการสร้างการเติบโต จนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค ทำให้บริษัทสามารถมียอดขายรวมกว่า 1,000 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2566 และเติบโตต่อเนื่องแบบ Double Digit มาโดยตลอด โดยอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) ของสองแบรนด์หลักอย่างศรีจันทร์ และ ศศิ อยู่ที่ระดับสูงถึง 51% และ 53% ต่อปีตามลำดับ ตั้งแต่ปี 2564–2567 ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ของเราอย่างแท้จริง”

4 กุญแจแห่งความสำเร็จ ศรีจันทร์ ปลดล็อกศักยภาพสู่การเติบโตที่ไม่สิ้นสุด

ความสำเร็จอันน่าทึ่งของศรีจันทร์ ไม่ได้เกิดขึ้นจากโชคช่วย แต่เกิดจากการวางกลยุทธ์ที่เฉียบคมและการปรับตัวที่ไม่เคยหยุดนิ่ง โดยสามารถสรุปกุญแจสำคัญแห่งความสำเร็จได้ 4 ประการดังนี้

1. ความแข็งแกร่งที่มากกว่า “แป้ง” สู่ผู้นำในทุกสมรภูมิ ศรีจันทร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แบรนด์ไม่ได้มีดีแค่ผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นในตำนาน แต่มีความแข็งแกร่งในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยมีการเติบโตอย่างน่าประทับใจในทุกหมวดหมู่ ได้แก่ เมคอัพ (11%), สกินแคร์ (148%) และครีมกันแดด (73%)

  • หมวดเมคอัพ: ผลิตภัณฑ์เรือธงอย่าง แป้งฝุ่นโปร่งแสง Bare to Perfect Translucent Powder ยังคงครองแชมป์สินค้าขายดีอันดับ 1 ในกลุ่มแป้งฝุ่น (Loose Powder) ของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง (ม.ค. 66 – เม.ย. 68) จากข้อมูลของ NielsenIQ ประเทศไทย
  • หมวดสกินแคร์: ถือเป็นการเติบโตที่โดดเด่นที่สุด ศรีจันทร์บุกตลาดสกินแคร์อย่างจริงจังในปี 2564 และสามารถสร้างการเติบโตได้ถึง 117% ในปี 2567 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมี

    SRICHAND Skin Moisture Burst Gel Cream เป็นพระเอกที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวหน้า (ม.ค. 67 – เม.ย. 68) ส่งผลให้ศรีจันทร์ผงาดขึ้นเป็น แบรนด์ไทยอันดับ 1 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวหน้า ด้วยอัตราการเติบโต 79% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่เติบโตเพียง 3.44%

2. “ศศิ (sasi)” แบรนด์น้องใหม่ที่เข้าใจ Gen Z การแตกแบรนด์ “ศศิ” ในปี 2560 คือการเดินหมากที่ชาญฉลาดเพื่อเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาความคุ้มค่าและอินเทรนด์ ภายใต้แนวคิด “The most value for money yet trendy beauty & lifestyle brand” ศศิประสบความสำเร็จอย่างงดงามด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วัยรุ่น เช่น

Kiss & Blush ที่เป็นเครื่องสำอางมัลติฟังก์ชัน และ Acne Sol Collection ที่แก้ปัญหาเรื่องสิวโดยเฉพาะ ส่งผลให้แบรนด์ศศิมีการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) มากกว่า 50% ต่อปีในช่วงปี 2564-2567

ศรีจันทร์

3. การเติบโตทางการเงินที่แข็งแกร่งและต่อเนื่อง ตัวเลขทางการเงินเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จที่ชัดเจนที่สุด ยอดขายรวมของบริษัทฯ เติบโตในระดับ Double Digit ทุกปี และทะยานสู่หลักพันล้านบาทได้สำเร็จ

  • ปี 2564: 520 ล้านบาท
  • ปี 2565: 717 ล้านบาท (+42.02%)
  • ปี 2566: 1,019 ล้านบาท (+41.92%)
  • ปี 2567: 1,600 ล้านบาท (+58.98%)

    โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตสำหรับปี 2568 ไว้อีกกว่า 30% – 40%

4. สัญญาณที่ดีจากการบุกตลาดต่างประเทศ ศรีจันทร์ได้เริ่มขยายปีกสู่ตลาดนานาชาติและได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะใน

ตลาดลาว ที่มีการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 112.5% (2564-2567) จากการทำกิจกรรมการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคท้องถิ่น เช่น การสนับสนุนการประกวด Miss Universe Laos และ Laos Fashion Week ขณะที่

ตลาดญี่ปุ่น ก็มีสัญญาณบวกอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันศรีจันทร์มีวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มแป้งในร้านค้ากว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ยังไปเข้าตาบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง BANDAI จนเกิดการซื้อลิขสิทธิ์เพื่อนำไปผลิตเป็นของเล่นกาชาปอง

ถอดรหัส 5 กลยุทธ์ “Purposeful Brand” สู่ความภาคภูมิใจของคนไทย

เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมดนี้คือการยึดมั่นในวิสัยทัศน์ของการเป็น “Purposeful Brand” ซึ่งถ่ายทอดออกมาเป็น 5 กลยุทธ์หลักที่ขับเคลื่อนองค์กร

1. รักษาเอกลักษณ์ Modern Classic Thainess: ศรีจันทร์ยึดมั่นในรากเหง้าความเป็นไทย แต่นำเสนอในมุมมองที่ทันสมัย ตั้งแต่การคงชื่อแบรนด์ไปจนถึงการระบุ “SRICHAND BANGKOK 1948” บนบรรจุภัณฑ์ เพื่อสื่อถึงความภาคภูมิใจในจุดกำเนิด

2. เลือกพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นตัวแทนไทยร่วมสมัย: กลยุทธ์การเลือกพรีเซ็นเตอร์มุ่งหาบุคคลที่เป็นไอคอนของคนไทยยุคใหม่ มีความสามารถ และสร้างแรงบันดาลใจ อาทิ ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก, โบว์-เมลดา, แบมแบม-กันต์พิมุกต์ สำหรับแบรนด์ศรีจันทร์ และ เก้า-สุภัสสรา, วง PROXIE สำหรับแบรนด์ศศิ

3. พัฒนาคุณภาพสินค้าระดับสากล: บริษัททุ่มเทลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงเทียบเท่าแบรนด์ระดับโลก เช่น การใช้สารให้ความชุ่มชื้นเจนเนอเรชั่นใหม่อย่าง Glyceryl Glucoside (GG) ในสกินแคร์ หรือการพัฒนา

Hybrid Foundation ที่มีส่วนผสมของ Skincare Active Ingredients มากถึง 86%

4. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยพลังคนรุ่นใหม่: ศรีจันทร์มุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้น “Resilience” หรือความพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมให้ความสำคัญกับสวัสดิการที่สะท้อนความเท่าเทียมและทันสมัย เช่น การลาคลอดที่ได้รับค่าจ้างสูงสุด 6 เดือน, การลาเพื่อดูแลภรรยา, การลาเพื่อผ่าตัดแปลงเพศ และการลาพักใจ ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับเป็น บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยอันดับ 1 ประจำปี 2568 จาก QGEN Thailand

5. ต่อยอดสู่ตลาดโลกด้วยพลัง T-Beauty: กลยุทธ์ล่าสุดที่ถือเป็นอนาคตของแบรนด์ คือการนำพาแบรนด์ไทยไปสู่เวทีโลก

“รุ่งอรุณแห่ง T-Beauty” โอกาสของเครื่องสำอางไทยในเวทีโลก

นายรวิศกล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า “ปัจจุบันกระแส T-Beauty หรือ Thai Beauty ได้รับความนิยมมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งส่งผ่านไปทาง Soft Power ต่างๆ เช่น ละคร ซีรีส์ และเพลง ทำให้ผลิตภัณฑ์ความงามของไทยได้รับความนิยมไปด้วย บวกกับศักยภาพในการผลิตของไทยที่เป็นที่ยอมรับ ทำให้เราเชื่อมั่นว่า T-beauty มีศักยภาพมากพอที่จะเป็น Soft power ที่แข็งแรงของประเทศไทยได้”

ศักยภาพของ T-Beauty สะท้อนผ่านปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น:

  • เทรนด์ “สุวาอิ เมคุ” (Suwai Meku): ในประเทศญี่ปุ่นเกิดเทรนด์การแต่งหน้าแบบไทย ที่เน้นผิวสวยสุขภาพดี คิ้วตั้งเป็นธรรมชาติ และสีสันที่ดูสดใส
  • คุณภาพ Made in Thailand: สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพ มาตรฐาน และราคาที่เข้าถึงได้ โดยเฉพาะในตลาดอาเซียนและเอเชีย
  • ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทย: การเติบโตของศรีจันทร์และแบรนด์ไทยอื่นๆ เป็นเครื่องยืนยันว่าคนไทยหันมาเชื่อมั่นและสนับสนุนสินค้าของประเทศตัวเองมากขึ้น

ด้วยความเชื่อมั่นนี้ ศรีจันทร์จึงตั้งเป้าหมายขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นตลาดอาเซียนและเอเชียเป็นหลัก ผ่านกลยุทธ์การหาคู่ค้าทางธุรกิจ (Distributor) ที่แข็งแกร่งในแต่ละท้องถิ่น พร้อมตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศให้เป็น

10-15% ของรายได้รวมภายใน 3 ปี

“นี่คือรุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลงของ T-beauty ที่ต้องคว้าโอกาสไว้ ศรีจันทร์ จะใช้โอกาสนี้ในการต่อยอดธุรกิจในตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อนำความเป็นไทยแบบ Modern Classic Thainess ไปสู่สายตาชาวโลกผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งท้ายที่สุดจะกลับมาตอบเป้าหมายการเป็นแบรนด์ไทยระดับสากลที่เป็นความภูมิใจของคนไทย” นายรวิศกล่าวสรุป

การเดินทางของศรีจันทร์จากร้านขายยาเล็กๆ ในอดีต สู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมความงามของไทย และกำลังจะก้าวไปสู่เวทีระดับโลก เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงศักยภาพของแบรนด์ไทย และเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า ยุคทองของ “T-Beauty” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

#ศรีจันทร์ #Srichand #Tbeauty #ThaiBeauty #เครื่องสำอางไทย #เศรษฐกิจ #ธุรกิจความงาม #แบรนด์ไทย #SoftPower #sasi #รวิศหาญอุตสาหะ #การส่งออก #ลงทุน

Related Posts