รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” ประกาศจุดยืนรัฐบาลพร้อมเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” ปลดล็อกกฎระเบียบ หนุน BOI ปรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนครั้งใหญ่ ชู “สตาร์ทอัพ” เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ ผนึกกำลังญี่ปุ่น-อาเซียน สร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในธุรกิจนวัตกรรม พลังงานสะอาด และ ESG ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เวทีความร่วมมือระดับนานาชาติ “Japan-ASEAN Startup Business” บรรยากาศเต็มไปด้วยความหวังและแรงบันดาลใจ เมื่อ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์สำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์และทิศทางใหม่ของภาคอุตสาหกรรมไทย โดยได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ท่ามกลางสภาวะโลกที่ “สิ่งเดียวที่แน่นอนคือความไม่แน่นอน” ประเทศไทยพร้อมที่จะไม่เพียงแค่ตั้งรับ แต่จะ “โอบรับและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง” โดยมีกลุ่มธุรกิจ “สตาร์ทอัพ” (Startup) เป็นหัวใจและฟันเฟืองหลักในการสร้างเศรษฐกิจอุตสาหกรรมยุคใหม่
นายเอกนัฏเริ่มต้นด้วยการยอมรับความจริงที่ว่า โลกกำลังเผชิญกับความผันผวนและความท้าทายในทุกมิติ ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ แต่แทนที่จะมองสิ่งนี้เป็นอุปสรรค ท่านรัฐมนตรีกลับมองว่านี่คือ “โอกาส” ครั้งสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับ “จิตวิญญาณของผู้ประกอบการ” ที่แท้จริง ที่สามารถมองเห็นและแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในทุกวิกฤตการณ์
รัฐบาลพลิกบทบาทสู่ “ผู้อำนวยความสะดวก” ปลดล็อกศักยภาพเอกชน
ประเด็นสำคัญที่ถูกเน้นย้ำและสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจคือ การเปลี่ยนบทบาทของภาครัฐ จากเดิมที่อาจถูกมองว่าเป็น “ผู้ควบคุมกฎ” (Regulator) ไปสู่การเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” (Facilitator) อย่างเต็มตัว นายเอกนัฏกล่าวอย่างชัดเจนว่า “หน้าที่ของผมไม่ใช่การบังคับใช้กฎหมาย แต่คือการอำนวยความสะดวก และช่วยนำทางการเปลี่ยนแปลงนี้”
ทิศทางดังกล่าวสะท้อนผ่านการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมหลายด้าน รัฐบาลกำลังเร่งทบทวนและกำหนดกฎระเบียบใหม่ๆ เพื่อลดขั้นตอนและอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยความโปร่งใส ความซื่อสัตย์สุจริต และความสะดวกสบายในการดำเนินงานของภาคเอกชน
ในมิติของการส่งเสริมการลงทุน คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (BOI) กำลังอยู่ในกระบวนการทบทวนและปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนครั้งสำคัญ เพื่อให้สามารถดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคตได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง การลงทุนเพื่อสร้างบุคลากรที่มีทักษะสูง (Talent) และการส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจไทย
ถอดรหัสความสำเร็จ “คิตะคิวชูโมเดล” สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนแบบ ESG
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญคือการหยิบยกบทเรียนความสำเร็จของ “เมืองคิตะคิวชู” ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนายเอกนัฏได้รับฟังและมีโอกาสพูดคุยกับท่านนายกเทศมนตรีโดยตรง เมืองคิตะคิวชูเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการฟื้นฟูเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรม ที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการสร้างรายได้ แต่สามารถสร้าง “สมดุล” ที่สมบูรณ์แบบระหว่างการเติบโตทางอุตสาหกรรม การนำเทคโนโลยีมาใช้สร้างมูลค่าเพิ่ม และการรักษาความสมบูรณ์ของชุมชนและสังคม ซึ่งทั้งหมดนี้คือแก่นแท้ของหลักการ ESG (Environmental, Social, and Governance) ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ
จากบทสนทนาดังกล่าว นายเอกนัฏได้ถอดรหัสองค์ประกอบแห่งความสำเร็จออกมาเป็น 3 ประการสำคัญ ซึ่งจะเป็นแนวทางให้ประเทศไทยนำมาปรับใช้ ได้แก่:
- การเข้าถึงและความร่วมมือระดับโลก (Global Outreach & Collaboration): การจัดงาน Japan-ASEAN Startup Business ในครั้งนี้ คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนขององค์ประกอบข้อนี้ เป็นเวทีที่ไม่ใช่แค่การสร้างเครือข่าย แต่คือการแบ่งปันองค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยี และเรื่องราวความสำเร็จ เพื่อต่อยอดและเติบโตไปด้วยกัน
- การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน (Public Participation): การสร้างความเชื่อมั่นในระบบ และการดึงภาคประชาชนและสังคมเข้ามามีส่วนร่วม คือกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน รัฐบาลกำลังพยายามฟื้นฟูความเชื่อมั่นนี้เพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วน
- “องค์กรธุรกิจ” คือหัวใจของการเปลี่ยนแปลง (Enterprise at the Core): นายเอกนัฏเน้นย้ำว่า องค์ประกอบสองข้อแรกจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “องค์กรธุรกิจ” หรือ “Enterprise” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สตาร์ทอัพ” ซึ่งเปรียบเสมือนเซลล์ต้นกำเนิดของระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรมยุคใหม่
“สตาร์ทอัพ” หัวหอกสร้าง Ecosystem ใหม่ ปลดล็อกโอกาสมหาศาล
“สตาร์ทอัพ หรือองค์กรธุรกิจเหล่านี้ คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมยุคใหม่นี้ ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ และเพื่อสร้าง ระบบนิเวศ (Ecosystem) ใหม่นี้ขึ้นมา” นายเอกนัฏกล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมมองเห็นโอกาสมหาศาลสำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการหน้าใหม่ ที่จะเข้ามาเป็นผู้เล่นสำคัญในภูมิทัศน์เศรษฐกิจที่กำลังจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะใน 4 ด้านหลัก ได้แก่:
- การปฏิวัติพลังงานสะอาด (Clean Energy Revolution): สอดรับกับเป้าหมายระดับโลกและของประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน การจัดการพลังงานอัจฉริยะ และโซลูชันเพื่อความยั่งยืนต่างๆ เข้ามามีบทบาท
- การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) และ AI: การนำเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าใหม่ให้กับอุตสาหกรรมดั้งเดิมของไทย ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต เกษตรกรรม หรือบริการ
- การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและสินทรัพย์ของไทย (Leveraging Thailand’s Resources): ต่อยอดจากจุดแข็งเดิมของประเทศ เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness) อาหารและเทคโนโลยีการเกษตร (FoodTech/AgriTech) เพื่อสร้างนวัตกรรมที่มีเอกลักษณ์และแข่งขันได้ในระดับโลก
- ธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยหลักการ ESG: การสร้างโซลูชันที่ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถเติบโตควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดและนักลงทุนทั่วโลก
“เงินทุน” คือเชื้อเพลิงสำคัญ และรัฐบาลพร้อม “Kick-start”
อย่างไรก็ตาม วิสัยทัศน์และโอกาสทั้งหมดนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงหากปราศจาก “เงินทุนและแหล่งเงินทุน” นายเอกนัฏได้กล่าวขอบคุณ ธนาคาร MUFG ในฐานะผู้จัดงานและเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงสตาร์ทอัพเข้ากับแหล่งทุน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของสถาบันการเงินในการเป็นส่วนหนึ่งของ Ecosystem
“แน่นอนว่า สตาร์ทอัพก็ต้องการการเริ่มต้น หรือ การผลักดันในช่วงแรก (Kick-start) ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ธนาคารและรัฐบาลจะช่วยกันจุดประกายและผลักดันให้สตาร์ทอัพเหล่านี้ได้เริ่มต้น” นายเอกนัฏกล่าวทิ้งท้าย
สุนทรพจน์ในครั้งนี้จึงเปรียบเสมือน “สัญญาณเตือนให้ตื่นตัว” (Wake-up Call) สำหรับทุกภาคส่วนในประเทศไทย และเป็นการประกาศความพร้อมอย่างเต็มที่ของรัฐบาลในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก “บัดนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด” ซึ่งไม่ใช่เพียงคำกล่าวที่สวยหรู แต่คือการส่งสัญญาณว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเพียง “การลงมือทำ” จากทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นจริงร่วมกัน
#เศรษฐกิจไทย #สตาร์ทอัพ #กระทรวงอุตสาหกรรม #เอกนัฏพร้อมพันธุ์ #BOI #การลงทุน #JapanASEAN #ESG #DigitalTransformation #CleanEnergy #นวัตกรรม #เศรษฐกิจใหม่