ครม. ไฟเขียว! ยกเว้นภาษีกำไรคริปโทฯ ดันไทยสู่ฮับ สินทรัพย์ดิจิทัล

ครม. ไฟเขียว! ยกเว้นภาษีกำไรคริปโทฯ ดันไทยสู่ฮับ สินทรัพย์ดิจิทัล

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงฯ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากกำไรการขาย สินทรัพย์ดิจิทัล (Capital Gains Tax) เป็นเวลา 5 ปี เริ่ม 1 ม.ค. 68 หวังสร้างมาตรฐานเดียวกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดึงดูดเม็ดเงินทั่วโลก พร้อมปั้นประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของโลก คาดแม้รัฐสูญรายได้ระยะสั้น 100 ล้านบาท แต่จะสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในระยะกลางกว่า 1,000 ล้านบาท

นับเป็นก้าวย่างครั้งประวัติศาสตร์ของวงการสินทรัพย์ดิจิทัลไทย เมื่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบในหลักการต่อ “ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร” ซึ่งเป็นมาตรการภาษีสำคัญที่มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นศูนย์กลาง สินทรัพย์ดิจิทัล ของโลก (Digital Asset Hub) ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง โดยมาตรการดังกล่าวจะเข้ามาปลดล็อกภาระภาษีที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับนักลงทุนรายย่อย และคาดว่าจะช่วยกระตุ้นระบบนิเวศของสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

สาระสำคัญ: ยกเว้นภาษี Capital Gains 5 ปีเต็ม

หัวใจหลักของมาตรการภาษีฉบับนี้ คือ การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผลกำไรจากการโอนหรือขาย สินทรัพย์ดิจิทัล (Capital Gains) ซึ่งครอบคลุมทั้งคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล โดยมีเงื่อนไขว่าการทำธุรกรรมดังกล่าวจะต้องเกิดขึ้นผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange), นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Broker) หรือผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Dealer)

มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้เป็นมาตรการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2568 ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2572

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นการพลิกโฉมหน้าการจัดเก็บภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่นักลงทุนบุคคลธรรมดาผู้มีกำไรจากการขาย จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 ของกำไร และยังต้องนำกำไรส่วนที่เหลือ (หลังหักผลขาดทุนในปีภาษีเดียวกัน) ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามขั้นบันไดอีกทอดหนึ่ง ซึ่งสร้างความซับซ้อนและเป็นภาระต่อนักลงทุนมาโดยตลอด

เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์: สร้างความเท่าเทียมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

กระทรวงการคลังได้ชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็นเบื้องหลังการออกมาตรการนี้ โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการคือ

สร้างมาตรฐานภาษีที่ใกล้เคียงกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์: ปัจจุบัน กำไรจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสำหรับนักลงทุนบุคคลธรรมดาได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ การยกเว้นภาษี Capital Gains จากสินทรัพย์ดิจิทัลจึงเป็นการสร้าง “สนามแข่งขันที่เท่าเทียม” (Level Playing Field) ลดความเหลื่อมล้ำทางภาษีระหว่างสินทรัพย์สองประเภท และทำให้นักลงทุนสามารถจัดสรรพอร์ตการลงทุนได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น

ส่งเสริมการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศ: การยกเลิกภาระภาษีดังกล่าวจะเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ดึงดูดให้นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาซื้อขายในศูนย์ซื้อขายที่ได้รับใบอนุญาตของไทยมากขึ้น แทนที่จะเลือกใช้บริการแพลตฟอร์มในต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume) และสภาพคล่องให้กับตลาดในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

ผลักดันสู่การเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Hub): มาตรการทางภาษีถือเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ทรงพลังในการดึงดูดเงินทุนและผู้มีความสามารถจากทั่วโลก การสร้างสภาพแวดล้อมทางภาษีที่เป็นมิตรและแข่งขันได้ จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน, นักพัฒนา, และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาลที่ต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล

วิเคราะห์ผลกระทบ: การลงทุนที่คุ้มค่าของภาครัฐ

แม้ว่ามาตรการนี้จะทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้จากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในระยะสั้น ซึ่งกระทรวงการคลังได้ประเมินตัวเลขไว้ที่ ประมาณปีละ 20 ล้านบาท หรือรวมทั้งสิ้น 100 ล้านบาทตลอดระยะเวลา 5 ปีของมาตรการ แต่ตัวเลขดังกล่าวนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประโยชน์มหาศาลที่คาดว่าจะได้รับกลับคืนมา

กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการนี้ จะสามารถสร้างรายได้ภาษีในรูปแบบอื่น ๆ กลับคืนสู่ภาครัฐในระยะปานกลาง รวมกันไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท โดยรายได้เหล่านี้จะมาจาก:

ภาษีเงินได้นิติบุคคล: จากผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและบริษัทอื่น ๆ ในระบบนิเวศที่เติบโตและมีกำไรมากขึ้น
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายและบริการต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณธุรกรรม
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: จากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรม ทั้งในตำแหน่งงานโดยตรงและตำแหน่งงานสนับสนุน
ดังนั้น การสูญเสียรายได้ 100 ล้านบาท จึงอาจมองได้ว่าเป็นการ “ลงทุน” ของภาครัฐเพื่อสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าถึง 10 เท่าในอนาคต

เดินหน้าควบคู่การกำกับดูแลที่รัดกุม

ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงาน ก.ล.ต., สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณ ซึ่งต่างเห็นพ้องในหลักการและไม่ขัดข้องต่อมาตรการดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม สศช. และสำนักงบประมาณ ได้ให้ข้อเสนอแนะที่สำคัญว่า กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ก.ล.ต. ควรดำเนินการในสองมิติควบคู่กันไปอย่างเข้มข้น กล่าวคือ:

การสร้างความรู้ความเข้าใจ: ต้องเร่งสื่อสารและให้ความรู้แก่นักลงทุนและประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับมาตรการภาษีใหม่ รวมถึงความเสี่ยงที่แท้จริงของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งมีความผันผวนสูง เพื่อให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน

การกำกับดูแลที่เข้มแข็ง: ต้องมีแนวทางการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและปกป้องผู้ลงทุนจากการฉ้อโกงหรือการกระทำที่ไม่เป็นธรรม

นอกจากนี้ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 5 ปีของมาตรการ กระทรวงการคลังจะต้องทำการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อรายงานผลการดำเนินงานและพิจารณาถึงความเหมาะสมในการขยายหรือปรับเปลี่ยนมาตรการต่อไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

การอนุมัติหลักการในครั้งนี้ ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ก่อนที่ร่างกฎกระทรวงจะมีผลบังคับใช้จริง ยังต้องผ่านกระบวนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป แต่นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่า รัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะเปิดประตูต้อนรับยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และพร้อมที่จะวางโครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมายและภาษีเพื่อปูทางให้ประเทศไทยผงาดขึ้นเป็น “Digital Asset Hub” ชั้นนำของภูมิภาคและของโลกในอนาคตอันใกล้นี้

#DigitalAssetHub #ภาษีคริปโท #ยกเว้นภาษี #สินทรัพย์ดิจิทัล #เศรษฐกิจดิจิทัล #คริปโทเคอร์เรนซี #การลงทุน #คณะรัฐมนตรี #กระทรวงการคลัง #ข่าวเศรษฐกิจ

Related Posts