ประเทศไทยประกาศจุดยืนเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญบนเวทีโลก ภายใต้การนำของ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ที่มุ่งปั้นประเทศสู่ “ศูนย์กลางด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” (AI Hub) โดยชูนโยบายเป็นกลาง ไม่เลือกข้างมหาอำนาจสหรัฐฯ-จีน เพื่อเปิดประตูรับการลงทุนจากทุกมุมโลก พร้อมใช้ “จริยธรรม AI” ที่ได้รับการรับรองจาก UNESCO เป็นหัวหอกสร้างความเชื่อมั่น ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งอนาคต
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ท่ามกลางกระแสความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่กำลังปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลก ประเทศไทยได้เคลื่อนไหวครั้งสำคัญ โดยประกาศวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางด้านปัญญาประดิษฐ์” หรือ “AI Hub” ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การประกาศนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแสดงความจำนง แต่มาพร้อมกับยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้งและรอบด้าน ซึ่งถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการใน “เวทีระดับโลกว่าด้วยจริยธรรมของปัญญาประดิษฐ์ ครั้งที่ 3” (3rd Global Forum on the Ethics of AI) ที่ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพ จัดโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เวทีสำคัญระดับโลกนี้จัดขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาล โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) เป็นแม่ทัพใหญ่ในการผลักดันยุทธศาสตร์นี้ ที่มองว่า AI ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือทางเทคโนโลยี แต่เป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในทศวรรษหน้า
นายประเสริฐ ได้ให้ทิศทางที่ชัดเจนว่า รัฐบาลมอง AI เป็นวาระแห่งชาติที่ต้องขับเคลื่อนอย่างจริงจัง วิสัยทัศน์ “AI Hub” ไม่ใช่แค่การดึงดูดการลงทุน แต่เป็นการวางรากฐานโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ เป็นยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อนวัตกรรม, การยกระดับอุตสาหกรรมเดิมด้วยเทคโนโลยี ไปจนถึงการพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีทักษะขั้นสูงพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทั้งหมดนี้คือหัวใจของการพาประเทศไทยให้ก้าวทันและเป็นผู้นำในเศรษฐกิจดิจิทัลโลก
ยุทธศาสตร์สมดุล: ไม่เลือกข้างในสมรภูมิเทคโนโลยีโลก
หนึ่งในประเด็นที่น่าจับตามองและสะท้อนวิสัยทัศน์ของผู้นำนโยบาย คือจุดยืนของไทยต่อสองขั้วมหาอำนาจด้าน AI ของโลกอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน ในประเด็นนี้ ทิศทางจากรัฐบาลที่นำโดยนายประเสริฐได้ให้คำตอบที่ชัดเจน ผ่านผู้แทนที่ได้รับมอบหมายบนเวที ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางการทูตเชิงเศรษฐกิจที่แยบยล
“แผนแม่บทปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติของเรานั้นชัดเจนมาก ว่าเราทำงานร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกทั้งหมด เราไม่ได้ตัดสินใจเลือกข้างใดข้างหนึ่งอย่างชัดเจน เราเชื่อว่าเราสามารถอยู่ร่วมกับทั้งสองระบบได้” นี่คือคำกล่าวที่ยืนยันถึงนโยบายความเป็นกลาง (Neutrality) ที่รัฐบาลยึดถือ
ในมุมมองทางเศรษฐกิจ จุดยืนดังกล่าวถือเป็นยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาดอย่างยิ่งในยุคที่สงครามการค้าและเทคโนโลยี (Tech War) มีความเข้มข้น การไม่ผูกมัดตัวเองกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งช่วยให้ไทยสามารถเปิดรับการลงทุน, การถ่ายทอดเทคโนโลยี และองค์ความรู้จากทั้งสองค่ายได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันยังเป็นการลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการลงทุนในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลภายใต้การกำกับดูแลของนายประเสริฐ ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน โดยระบุว่า “เราก็สนับสนุนการลงทุนภายในประเทศ เพื่อที่เราควรจะมีระบบ AI ของเราเองด้วย” ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการมุ่งมั่นพัฒนาขีดความสามารถและสร้างระบบนิเวศ AI ของคนไทยให้เติบโตควบคู่กันไป
จริยธรรมนำเศรษฐกิจ: สร้างความเชื่อมั่นด้วยมาตรฐานโลก
สิ่งที่ทำให้วิสัยทัศน์ “AI Hub” ของไทยแตกต่างและโดดเด่น คือการนำ “จริยธรรม” มาเป็นเสาหลักในการพัฒนา ซึ่งเป็นสิ่งที่นายประเสริฐและทีมงานให้ความสำคัญอย่างยิ่ง และได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระดับโลกอย่าง UNESCO
นางลิเดีย บริโต (Lidia Brito) ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ ด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ของ UNESCO ได้กล่าวชื่นชมประเทศไทยอย่างสูงในเวทีดังกล่าวว่า “การที่ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสอดคล้องกับการที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้ประกาศให้ AI เป็นวาระยุทธศาสตร์แห่งชาติ ที่สำคัญที่สุดคือ ประเทศไทยสนับสนุนการพัฒนา AI ที่มีจริยธรรมและครอบคลุม (Ethical and Inclusive AI) ซึ่งทำให้เวทีนี้มีเนื้อหาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง”
คำกล่าวของ UNESCO ไม่ใช่เพียงคำชมเชยทางการทูต แต่เป็นการรับรอง (Endorsement) ที่มีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ในโลกที่ผู้บริโภคและนักลงทุนเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงของ AI การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งประกาศตัวเป็นผู้นำด้าน “จริยธรรม AI” จะสามารถสร้างความไว้วางใจและกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพจากบรรษัทข้ามชาติที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลที่ต้องการการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ: ความร่วมมือระดับภูมิภาคและทวิภาคี
เพื่อให้เป้าหมายการเป็น AI Hubเกิดขึ้นได้จริง ภายใต้นโยบายของนายประเสริฐ ได้มีการวางแนวทางการทำงานที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ระดับภูมิภาค: นางลิเดีย บริโต เปิดเผยว่า “เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ประเทศไทยต้องการเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคของเอเชียแปซิฟิก” แนวคิดนี้คือการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในอาเซียนและเอเชียแปซิฟิกเพื่อแบ่งปันโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI, ร่วมกันพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร และสร้างตลาด AI ที่ใหญ่ขึ้น โดยไทยพร้อมที่จะเป็นแกนกลางในการประสานงานและขับเคลื่อนความร่วมมือนี้
ระดับทวิภาคี: มีการเปิดเผยถึงความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมกับมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีอย่างอินเดีย โดยท่านปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ระบุว่า “เรากำลังอยู่ในกระบวนการนำผู้เชี่ยวชาญจากอินเดียเข้ามาทำงานร่วมกับประเทศไทย ซึ่งโครงการนี้ได้ดำเนินการมาอย่างน้อย 2 ปีแล้ว” ความร่วมมือนี้เป็นการเดินเกมที่สำคัญในการเร่งพัฒนาบุคลากรและองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ซึ่งเป็นรากฐานที่ขาดไม่ได้ของการพัฒนา AI ขั้นสูง
นอกจากนี้ ในประเด็นการสร้างมาตรฐานสากล ผู้แทนจากไทยยังได้เสนอแนวทางที่ปฏิบัติได้จริงว่า “วิธีที่ดีและรวดเร็วที่สุดคือการใช้แนวทางระดับภูมิภาค เพื่อรวบรวมกรณีศึกษาและหาจุดร่วม (Common Grounds) จากนั้นจึงยกระดับให้กลายเป็นข้อเสนอแนะหรือกฎหมายที่ใช้ร่วมกัน” สะท้อนถึงแนวคิดที่เน้นการปฏิบัติและสร้างฉันทามติร่วมกันในภูมิภาค
ความท้าทายและก้าวต่อไป
แม้ว่าวิสัยทัศน์จะยิ่งใหญ่ แต่ทุกฝ่ายยอมรับว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยความท้าทาย ผู้แทนของไทยยอมรับว่า “การจะเป็นศูนย์กลางได้นั้น เรายังมีงานที่ต้องทำอีกมากและต้องใช้ความพยายามอย่างสูง” ซึ่งรวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน, การปฏิรูปการศึกษา และการปรับปรุงกฎระเบียบ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายประเสริฐกำลังเร่งดำเนินการ
อีกหนึ่งความท้าทายสำคัญคือการรับมือกับด้านมืดของ AI โดยเฉพาะปัญหาข่าวปลอมและอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งทาง UNESCO ยืนยันว่ากรอบจริยธรรม AI ถูกออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับปัญหานี้โดยตรง และจะมีการเปิดตัว “เครือข่ายหน่วยงานกำกับดูแล AI ระดับโลก” เพื่อร่วมมือกันแก้ไข
โดยสรุป การประกาศปักหมุดสู่ “AI Hub” ของประเทศไทยในครั้งนี้ คือการวางยุทธศาสตร์ชาติครั้งสำคัญที่ขับเคลื่อนโดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง และกระทรวงดิจิทัลฯ ซึ่งเชื่อมโยงมิติทางเศรษฐกิจ, เทคโนโลยี และสังคมเข้าไว้ด้วยกันอย่างบูรณาการ การเดินทางนี้ยังอีกยาวไกล แต่ทิศทางที่ชัดเจนและเสียงสนับสนุนจากเวทีโลก ถือเป็นก้าวแรกที่ทรงพลังและเปี่ยมด้วยความหวังในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลแห่งอนาคตอย่างเต็มภาคภูมิ
#ประเสริฐจันทรรวงทอง #AI #เศรษฐกิจดิจิทัล #ThailandAIHub #UNESCO #จริยธรรมAI #กระทรวงดีอี #นโยบายเศรษฐกิจ #การลงทุน #เทคโนโลยี #ข่าวเศรษฐกิจ