เศรษฐกิจ กัมพูชา เผชิญมรสุม อสังหาฯซบเซา-ภาษีสหรัฐฯฉุดโต

เศรษฐกิจ กัมพูชา เผชิญมรสุม อสังหาฯซบเซา-ภาษีสหรัฐฯฉุดโต

ทริสเรทติ้งชี้เศรษฐกิจ กัมพูชา ปี 2568-2569 โตชะลอตัวที่ 5.8%-5.9% ต่ำกว่ายุคก่อนโควิดอย่างมีนัยสำคัญ ผลจากภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างที่ซบเซาหนัก และความเสี่ยงจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ขณะที่ภาคธนาคารยังคงเปราะบาง เผชิญหนี้เสีย (NPL) พุ่งสูงถึง 7.9% ท่ามกลางความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เศรษฐกิจของราชอาณาจักร กัมพูชา กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญในระยะปานกลาง โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้เปิดเผยรายงาน “Country in Focus” ฉบับล่าสุด คาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของกัมพูชาจะชะลอตัวลง โดยคาดว่าจะเติบโตที่ 5.8% ในปี 2568 และ 5.9% ในปี 2569 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเคยเติบโตสูงถึง 8% ต่อปีในช่วงปี 2558-2562

ปัจจัยฉุดรั้งสำคัญมาจากภาวะซบเซาอย่างรุนแรงในภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง ซึ่งเผชิญกับภาวะอุปทานส่วนเกิน ประกอบกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ แม้จะมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของภาคบริการและการท่องเที่ยว แต่ความเปราะบางในภาคการเงินที่สะท้อนผ่านคุณภาพสินทรัพย์ที่ถดถอยและหนี้เสียที่พุ่งสูง ยังคงเป็นความเสี่ยงเชิงระบบที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน

ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าการเติบโตของ GDP กัมพูชาจะลดลงจากประมาณการ 6.0% ในปี 2567 มาอยู่ที่ 5.8% ในปี 2568 ก่อนจะขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 5.9% ในปี 2569 ภาวะชะลอตัวนี้มีสาเหตุหลักมาจาก 2 ปัจจัย ได้แก่:

  1. ภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างซบเซา: ภาวะอุปทานส่วนเกินในภาคอสังหาริมทรัพย์ได้สร้างแรงกดดันต่อราคาที่อยู่อาศัยอย่างหนัก และจะยังคงเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตของ GDP ให้ต่ำกว่าศักยภาพ แม้การส่งออกภาคบริการจะฟื้นตัว แต่การบริโภคภายในประเทศกลับอ่อนแอลง สะท้อนจากการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด

  2. ความเสี่ยงจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ และการแข่งขันจากจีน: สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชา โดยมีสัดส่วนถึง 37% ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2567 มาตรการภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ จึงสร้างความเสี่ยงโดยตรงต่อภาคการส่งออก โดยเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 สหรัฐฯ ได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าในอัตราเดียวกันทั้งหมด (Universal Tariffs) ที่ 10% และยังได้เสนอภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในอัตราสูงถึง 49% ต่อกัมพูชา ซึ่งแม้จะถูกระงับไว้ชั่วคราว 90 วันเพื่อการเจรจา แต่ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ นอกจากนี้ การที่สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีกับจีน อาจส่งผลให้สินค้าราคาถูกจากจีนทะลักเข้าสู่ตลาดอาเซียนรวมถึงกัมพูชามากขึ้น ซึ่งจีนเป็นแหล่งนำเข้าที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชาอยู่แล้วด้วยสัดส่วน 47% ในปี 2567

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจกัมพูชายังมีปัจจัยสนับสนุนอยู่บ้าง ทั้งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ยังแข็งแกร่ง, ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับจีน และการเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่ช่วยหนุนการส่งออกในภูมิภาค รวมถึงโครงสร้างประชากรที่เอื้ออำนวย โดยมีค่ามัธยฐานของอายุเพียง 26.4 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานอายุน้อย

สำหรับอัตราเงินเฟ้อ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำมากที่ 0.8% ในปี 2567 เป็น 3.2% ในปี 2568 ตามราคาอาหารที่สูงขึ้น ก่อนจะทรงตัวที่ประมาณ 3.0% ในปี 2569 ซึ่งยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารกลางกัมพูชา (NBC)

เสถียรภาพภาคต่างประเทศเปราะบาง ดุลบัญชีเดินสะพัดเสี่ยงขาดดุล

ทริสเรทติ้งคาดว่าเสถียรภาพภาคต่างประเทศของกัมพูชาจะเผชิญแรงกดดันมากขึ้น โดยคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) ต่อ GDP จะลดลงจากเกินดุล 2.5% ในปี 2567 มาอยู่ที่เกินดุลเพียง 0.8% ในปี 2568 และพลิกกลับมาขาดดุล 0.8% ในปี 2569

สาเหตุหลักมาจากดุลการค้าที่คาดว่าจะอ่อนแอลงและขาดดุลต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่การส่งออกของกัมพูพึ่งพาสินค้ามูลค่าเพิ่มต่ำเป็นหลัก เช่น เสื้อผ้าและสิ่งทอ และผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่กล่าวไปข้างต้น

อย่างไรก็ตาม ดุลบริการมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นผลบวกจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยว โดยในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ากัมพูชามีจำนวนถึง 6.7 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ 6.6 ล้านคนในปี 2562 แล้ว

ในส่วนของบัญชีการเงิน (Financial Account) คาดว่าจะยังคงปรับตัวดีขึ้น โดยมีแรงหนุนหลักจาก FDI ที่แข็งแกร่ง และการไหลออกสุทธิของเงินลงทุนอื่นๆ ที่มีแนวโน้มลดลง สอดคล้องกับทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลัก ด้านเงินสำรองระหว่างประเทศ แม้จะลดลงจาก 7.4 เดือนของการนำเข้าในปี 2566 มาอยู่ที่ 6.6 เดือนในปี 2567 แต่คาดว่าจะทรงตัวในระดับนี้ต่อไป ซึ่งยังถือว่าเพียงพอตามเกณฑ์มาตรฐานของ IMF ที่ 3 เดือน

ข้อจำกัดนโยบายการคลัง-การเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

กัมพูชามีข้อจำกัดในการใช้นโยบายเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ทั้งในมิติการคลังและการเงิน

  • ด้านการคลัง: พื้นที่ทางการคลังมีจำกัดอย่างมาก เนื่องจากแหล่งเงินทุนในการขาดดุลมีจำกัด ตลาดพันธบัตรในประเทศยังมีขนาดเล็กมาก (ประมาณ 0.5% ของ GDP) และการเข้าถึงตลาดหนี้ต่างประเทศก็มีจำกัด ทำให้แหล่งเงินทุนหลักยังต้องพึ่งพิงเงินกู้แบบผ่อนปรนเพื่อการพัฒนา ทริสเรทติ้งคาดว่าดุลการคลังจะขาดดุล -2.5% ต่อ GDP ในปี 2568 ก่อนจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเป็น -2.3% ในปี 2569 อย่างไรก็ดี จุดแข็งคือหนี้สาธารณะต่อ GDP ยังอยู่ในระดับต่ำมากที่ประมาณ 26% ในช่วงปี 2568-2569 ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน

  • ด้านการเงิน: ประสิทธิภาพของนโยบายการเงินถูกจำกัดอย่างมีนัยสำคัญจากการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระบบเศรษฐกิจในระดับสูง (High Dollarization) ซึ่งสะท้อนจากสัดส่วนเงินฝากในสกุลเงินต่างประเทศที่สูงถึง 89% ณ เดือนมกราคม 2568 ทำให้เครื่องมือนโยบายการเงินของธนาคารกลางกัมพูชา (NBC) ซึ่งส่งผ่านเงินสกุลท้องถิ่น (เรียล) มีประสิทธิผลน้อยลง หนึ่งในเครื่องมือหลักที่ NBC ใช้จึงเป็นการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งสามารถรักษาเสถียรภาพของค่าเงินเรียลเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ดี

ภาคธนาคารยังน่าห่วง: NPL พุ่ง-กำไรหด-การกำกับดูแลอ่อนแอ

ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในมุมมองของทริสเรทติ้ง คือความเสี่ยงในภาคธนาคารที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

คุณภาพสินทรัพย์ของระบบธนาคารกัมพูชาถดถอยลงอย่างรุนแรง โดยอัตราส่วนลูกหนี้ด้อยคุณภาพ (NPLs) ได้พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ จาก 3.1% ณ สิ้นปี 2565 เป็น 5.3% ณ สิ้นปี 2566 และทะยานขึ้นไปถึง 7.9% ณ สิ้นปี 2567 ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรก็อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมเฉลี่ย (ROA) ลดลงเหลือเพียง 0.2% ในปี 2567 จากระดับ 1.7% ในปี 2564

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญมาจากภาระหนี้สินภาคเอกชนที่อยู่ในระดับสูงถึง 130% ของ GDP ณ สิ้นปี 2567 แม้การเติบโตของสินเชื่อจะชะลอตัวลงมากเหลือเพียง 3% ในปี 2567 ก็ตาม

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าการกำกับดูแลภาคธนาคารยังค่อนข้างอ่อนแอเมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล การอนุญาตให้มีการแข่งขันสูงเกินไป (มีธนาคารพาณิชย์ 59 แห่ง) และการบังคับใช้กฎระเบียบที่ยังไม่เข้มงวดเพียงพอ เช่น การขยายเวลามาตรการผ่อนปรนหนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2568 และการเลื่อนการบังคับใช้ข้อกำหนดด้านเงินกองทุนใหม่ออกไป เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเปราะบางให้กับระบบ

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยบวกอยู่บ้างในภาคธนาคาร คือสถานะการระดมทุนที่ยังมั่นคง โดยเงินฝากยังเติบโตได้ดีกว่าสินเชื่อ ทำให้สภาพคล่องยังอยู่ในเกณฑ์ดี และทริสเรทติ้งมองว่าแนวโน้มการควบรวมกิจการในภาคธนาคารจะยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่ดี

โดยสรุป เศรษฐกิจกัมพูชากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจเป็นภาพที่ชัดเจนในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า โดยมีแรงกดดันทั้งจากปัจจัยภายในประเทศคือภาคอสังหาริมทรัพย์ และปัจจัยภายนอกคือความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ ขณะที่ความเสี่ยงเชิงระบบในภาคการเงินยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทางการกัมพูชาต้องบริหารจัดการอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว

#เศรษฐกิจกัมพูชา #ทริสเรทติ้ง #GDPกัมพูชา #อสังหาริมทรัพย์กัมพูชา #หนี้เสีย #NPL #มาตรการภาษีสหรัฐ #การลงทุนกัมพูชา #ข่าวเศรษฐกิจ #อาเซียน

Related Posts