ทรู คอร์ปอเรชั่น ขานรับภารกิจด้านความมั่นคงแห่งชาติ สนับสนุนกองทัพภาคที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา เดินหน้ายกระดับประสิทธิภาพสัญญาณสื่อสารในพื้นที่ยุทธศาสตร์ พร้อมใช้เทคโนโลยีสกัดกั้นสัญญาณข้ามแดนอย่างเข้มงวด สะท้อนบทบาทองค์กรเอกชนในการผนึกกำลังภาครัฐ ปกป้องอธิปไตยดิจิทัลและสกัดกั้นภัยคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายมหาศาลต่อเศรษฐกิจไทย
ท่ามกลางความท้าทายด้านความมั่นคงและปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นในยุคดิจิทัล การสื่อสารที่รวดเร็วและปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนถือเป็นหัวใจสำคัญในการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ ล่าสุด บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้แสดงจุดยืนในการเป็นส่วนหนึ่งของกลไกป้องกันประเทศ โดยได้ออกมาตรการสนับสนุนการปฏิบัติงานของกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) และกองกำลังสุรนารีอย่างเต็มกำลัง
การดำเนินการดังกล่าวเป็นการตอบสนองต่อคำร้องขอจากหน่วยงานภาครัฐโดยตรง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่ายการสื่อสารให้กับทหารไทยที่ประจำการในพื้นที่เปราะบางตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมศักยภาพในการป้องกันประเทศ แต่ยังมีนัยสำคัญต่อการป้องกันปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ใช้พื้นที่ชายแดนเป็นฐานปฏิบัติการ
ยกเครื่อง “สัญญาณเพื่อความมั่นคง” ในพื้นที่ยุทธศาสตร์
ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ส่งทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเข้าสำรวจและดำเนินการติดตั้งโซลูชันด้านการสื่อสารอย่างเร่งด่วนตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นการเสริมความครอบคลุมและความเสถียรของสัญญาณในพื้นที่ปฏิบัติการสำคัญ 5 แห่ง ได้แก่:
- ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
- ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
- ฐานปฏิบัติการอนุพงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี
- ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์
- ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ
การยกระดับสัญญาณในครั้งนี้ ทรูฯ ได้นำเทคโนโลยีที่หลากหลายเข้ามาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและลักษณะการใช้งานของแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการนำ รถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่เร็ว (COW หรือ Cell on Wheels) ซึ่งเป็นสถานีฐานชั่วคราวที่สามารถเคลื่อนย้ายและติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการสัญญาณเร่งด่วน การ อัปเกรดเสาสัญญาณเดิม ที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และการ ติดตั้งเสาสัญญาณขนาดเล็ก (Small Cell) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความจุและความแรงของสัญญาณในพื้นที่เฉพาะจุด ทำให้การสื่อสารภายในฐานปฏิบัติการของทหารเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงภารกิจนี้ว่า “เราขอสนับสนุนทหารไทยอย่างเต็มที่ในการปฏิบัติภารกิจเพื่อความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยทีมงานของเราได้รับการประสานขอสัญญาณเพิ่มจากกองทัพบก และทรู คอร์ปอเรชั่นได้ส่งทีมงานที่เข้าไปสำรวจพื้นที่ และนำรถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่เร็ว (COW) ไปติดตั้งในพื้นที่ของทหารตั้งแต่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา และเพิ่มโซลูชันเพื่อประสิทธิภาพการสื่อสารให้แก่ทหารไทยในการปฏิบัติภารกิจอีกหลายจุด”
คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรวดเร็วในการตอบสนองและความมุ่งมั่นขององค์กร ที่ไม่ได้มองเพียงแค่การดำเนินธุรกิจ แต่ยังให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมสนับสนุนภารกิจของชาติ
อีกด้านของภารกิจ: “ตัดท่อน้ำเลี้ยง” สัญญาณแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ในขณะที่การเสริมสัญญาณเพื่อความมั่นคงเป็นภารกิจด้านหนึ่ง การป้องกันไม่ให้สัญญาณโทรศัพท์ของไทยรั่วไหลข้ามแดนไปเป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพก็เป็นอีกภารกิจสำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งสร้างผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างมหาศาล
ทรูฯ ได้เน้นย้ำถึงมาตรการที่เข้มงวดในการควบคุมสัญญาณ โดยนายจักรกฤษณ์กล่าวเพิ่มเติมว่า “โดยทั้งหมดครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ของทหารไทยที่ประจำการ และดำเนินการระงับสัญญาณมือถือตามที่เราได้ปฏิบัติตามความร่วมมือกับภาครัฐ-ดีอีเอส-กสทช. อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการใช้งานสัญญาณผิดวัตถุประสงค์ และลดความเสี่ยงจากการกระทำผิดกฎหมาย เพื่อความปลอดภัยของประชาชน”
มาตรการดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่ได้สั่งการให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายทำการระงับสัญญาณ (Switch off) และปรับทิศทางเสาสัญญาณบริเวณแนวชายแดนเพื่อป้องกันการลักลอบใช้งานในประเทศเพื่อนบ้าน
ที่ผ่านมา ทรูฯ ได้ดำเนินการตามมาตรการนี้อย่างจริงจังและเสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 ในหลายพื้นที่เสี่ยงติดกับประเทศกัมพูชา เช่น:
- อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
- อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี
- อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
- อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
การดำเนินการแบบ “สองด้าน” คือการเปิดสัญญาณให้เฉพาะเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติ และปิดกั้นสัญญาณจากอาชญากรข้ามแดน จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการสร้าง “อธิปไตยทางดิจิทัล” ให้กับประเทศ
ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและความมั่นคงในภาพรวม
การผนึกกำลังระหว่างภาครัฐ นำโดยกองทัพบกและ กสทช. กับภาคเอกชนอย่าง ทรูฯในครั้งนี้ ถือเป็นต้นแบบของความร่วมมือ (Public-Private Partnership) ที่มีประสิทธิภาพในการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่
ในมิติของความมั่นคง การสื่อสารที่ชัดเจนและเชื่อถือได้ของกองกำลังป้องกันชายแดน คือหลักประกันขั้นพื้นฐานในการปกป้องอธิปไตย ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย การค้ายาเสพติด และอาชญากรรมอื่นๆ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศ
ในมิติของเศรษฐกิจ การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้สัญญาณโทรศัพท์ไทยจากประเทศเพื่อนบ้าน ถือเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงสำคัญและช่วยลดความเสียหายทางการเงินของประชาชนที่ถูกหลอกลวงเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี การสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนสามารถทำธุรกรรมและใช้บริการดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ภารกิจของทรู คอร์ปอเรชั่นในครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการติดตั้งเสาสัญญาณ แต่คือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจของชาติไปพร้อมกัน เป็นการตอกย้ำว่าในโลกยุคใหม่ การปกป้องพรมแดนทางกายภาพและการปกป้องพรมแดนทางดิจิทัลเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่กันอย่างแยกไม่ออก เพื่อความสงบสุขและความมั่งคั่งของประเทศชาติโดยรวม
#ทรูคอร์ปอเรชั่น #TrueCorporation #ความมั่นคง #สัญญาณมือถือ #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพภาคที่2 #กสทช #ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ #เศรษฐกิจดิจิทัล #CSR #ความมั่นคงแห่งชาติ #อาชญากรรมข้ามแดน