องค์การยูเนสโกเลือกกรุงเทพมหานครเป็นเวทีสำคัญในการประชุมระดับโลกว่าด้วยจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ครั้งที่ 3 ดึงผู้นำและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกร่วมกำหนดอนาคตเทคโนโลยี นางออเดรย์ อาซูเลย์ ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก กล่าวยกย่องศักยภาพไทยที่หลอมรวมมรดกทางวัฒนธรรมเข้ากับนวัตกรรมสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว พร้อมตอกย้ำภารกิจเร่งด่วนในการผลักดัน “ข้อเสนอแนะว่าด้วยจริยธรรม AI” ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลฉบับเดียวของโลก เพื่อควบคุมดาบสองคมของ AI ให้สร้างประโยชน์สูงสุดทางเศรษฐกิจและสังคม พร้อมป้องกันความเสี่ยงในการซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำที่อาจฉุดรั้งการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมประกาศเปิดตัว “เครือข่ายองค์กรกำกับดูแล AI ระดับโลก” แห่งใหม่ที่กรุงเทพฯ ตอกย้ำบทบาทไทยในเวทีเทคโนโลยีโลก
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ณ ใจกลางมหานครที่ซึ่งความรุ่มรวยทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไหลรวมกับคลื่นแห่งเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างไม่หยุดนิ่ง กรุงเทพมหานครได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัด “การประชุมระดับโลกของ ยูเนสโก ว่าด้วยจริยธรรมของปัญญาประดิษฐ์ (The 3rd Global Forum on the Ethics of Artificial Intelligence)” ครั้งที่ 3 การรวมตัวครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้ดึงดูดผู้แทนจากภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศ ภาคเอกชนยักษ์ใหญ่ สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคมจากทั่วทุกมุมโลก ให้เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อร่วมกันขีดเขียนอนาคตและกำหนดทิศทางของเทคโนโลยีที่จะทรงอิทธิพลต่อมวลมนุษยชาติมากที่สุดในศตวรรษที่ 21
บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก สะท้อนถึงความตระหนักร่วมกันถึงความเร่งด่วนของภารกิจนี้ โดยมี นางออเดรย์ อาซูเลย์ ผู้อำนวยการใหญ่ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เป็นผู้กล่าวปาฐกถาเปิดการประชุมอย่างทรงพลัง เธอได้เริ่มต้นด้วยการแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อรัฐบาลไทยและนายกรัฐมนตรี สำหรับการต้อนรับอันอบอุ่นและการเป็นเจ้าภาพที่ยอดเยี่ยม พร้อมทั้งกล่าวยกย่องประเทศไทยในฐานะที่เป็นภาพสะท้อนอันสมบูรณ์แบบของหัวใจหลักในการประชุมครั้งนี้
“เป็นเกียรติและน่ายินดียิ่งที่ได้มารวมตัวกัน ณ กรุงเทพมหานคร เพื่อหารือถึงความท้าทายทางจริยธรรมที่สำคัญยิ่งของปัญญาประดิษฐ์” นางอาซูเลย์กล่าว “เรามาที่นี่ ในประเทศไทย ดินแดนที่ประเพณีและความทันสมัยก้าวเดินไปพร้อมกันอย่างงดงาม ประเทศไทยไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเชื่อมต่อทางดิจิทัลสูงที่สุดในโลก แต่ยังเป็นที่ซึ่งวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่ยูเนสโกภูมิใจที่ได้เป็นพันธมิตรมายาวนาน ได้ผสมผสานมิติด้านจิตวิญญาณ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ และคุณค่าทางจริยธรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีเอกลักษณ์ สิ่งนี้ปรากฏชัดผ่านมรดกโลกที่ทรงคุณค่า ตั้งแต่อดีตราชธานีสุโขทัย แหล่งโบราณคดีภูพระบาท ไปจนถึงมรดกที่จับต้องไม่ได้อย่าง ‘สงกรานต์’ ซึ่งล้วนสะท้อนถึงการต้อนรับและความเคารพต่อสรรพชีวิต ณ ดินแดนแห่งนี้เองที่เราปรารถนาจะตอกย้ำถึงคุณค่าที่จะต้องนำทางหนึ่งในการพัฒนาที่น่าทึ่งที่สุดในยุคของเรา นั่นคือการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์”
คำกล่าวของผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกไม่ได้เป็นเพียงคำยกย่องทางการทูต แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงนัยสำคัญว่า การถกเถียงเรื่องจริยธรรมของเทคโนโลยีล้ำสมัยนั้น ไม่สามารถแยกขาดออกจากรากฐานทางวัฒนธรรมและคุณค่าของสังคมได้ และประเทศไทยซึ่งกำลังก้าวไปข้างหน้าด้วยนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลและ “Thailand 4.0” ในขณะที่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น จึงเป็นฉากทัศน์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการหาจุดสมดุลระหว่างนวัตกรรมและมนุษยธรรม
ดาบสองคมแห่ง AI: ศักยภาพทางเศรษฐกิจมหาศาลกับเงาของความเหลื่อมล้ำ
หัวใจสำคัญของปาฐกถาของนางอาซูเลย์คือการฉายภาพให้เห็นถึงคุณลักษณะสองด้านของ AI ที่เป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงมหาศาลต่อระบบเศรษฐกิจและโครงสร้างทางสังคมทั่วโลก ในด้านหนึ่ง AI คือเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตและความเจริญก้าวหน้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“เราทราบดีว่า AI มีศักยภาพมหาศาลในการพลิกโฉมเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด” นางอาซูเลย์อธิบาย “ลองจินตนาการถึงภาคการเกษตรของไทยที่ใช้ AI ในการทำเกษตรกรรมแม่นยำสูง (Precision Agriculture) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลดินฟ้าอากาศและเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีนัยสำคัญ หรือในภาคสาธารณสุขที่ AI ช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคที่ซับซ้อนได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น สนับสนุนเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ของไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ AI ยังสามารถปฏิวัติระบบโลจิสติกส์ เพิ่มประสิทธิภาพให้กับการกำหนดนโยบายสาธารณะ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างถ้วนหน้า”
อย่างไรก็ตาม เธอก็ได้ส่งสัญญาณเตือนอย่างหนักแน่นถึงอีกด้านหนึ่งของคมดาบที่น่ากังวล นั่นคือความเสี่ยงที่ AI จะกลายเป็นเครื่องมือที่ซ้ำเติมและขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่เดิมในสังคมให้ร้าวลึกลงไปอีก “การพัฒนา AI อย่างก้าวกระโดดนี้ก่อให้เกิดความท้าทายที่สำคัญ โดยเริ่มต้นจากความเสี่ยงในการขยายความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มคนที่มีความพร้อมและทักษะในการใช้ประโยชน์จากมัน กับกลุ่มคนที่อาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างสิ้นเชิง ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่ปัญหาระดับประเทศ แต่เป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่ต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วน”
ความเสี่ยงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเข้าถึงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอคติที่อาจฝังอยู่ในอัลกอริทึม (Algorithmic Bias) ซึ่งอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติในการอนุมัติสินเชื่อ การจ้างงาน หรือแม้กระทั่งในกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ การเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ในหลายอุตสาหกรรมยังก่อให้เกิดความท้าทายใหญ่หลวงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจำเป็นต้องมีการวางแผนเพื่อพัฒนาทักษะใหม่ (Reskilling) และยกระดับทักษะเดิม (Upskilling) ในระดับมหภาค
พิมพ์เขียวสากลของยูเนสโก: กรอบจริยธรรมเพื่อกำกับทิศทาง AI
ด้วยตระหนักถึงความจำเป็นในการสร้าง “รั้ว” เพื่อควบคุมพลังของ AI ให้อยู่ในทิศทางที่สร้างสรรค์ ยูเนสโกจึงได้ทำงานอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อสร้างฉันทามติระดับโลก จนกระทั่งในปี 2564 รัฐสมาชิกทั้งหมดได้มีมติรับรองเอกสารครั้งประวัติศาสตร์ “ข้อเสนอแนะว่าด้วยจริยธรรมของปัญญาประดิษฐ์ (Recommendation on the Ethics of AI)” ซึ่งนางอาซูเลย์ย้ำว่าเป็น “กรอบมาตรฐานทางจริยธรรมระดับโลกฉบับแรกและฉบับเดียวในปัจจุบัน” ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
“ภารกิจของเราชัดเจน นั่นคือการเตรียมโลกให้พร้อมสำหรับ AI และเตรียม AI ให้พร้อมสำหรับโลก เพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีนี้จะรับใช้ประโยชน์สุขของส่วนรวม” ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกกล่าวอย่างหนักแน่น
ยูเนสโกได้แปลงข้อเสนอแนะเชิงหลักการนี้ให้กลายเป็นแผนปฏิบัติการที่จับต้องได้ ผ่านยุทธศาสตร์หลายมิติที่ทำงานอย่างสอดประสานกัน เริ่มตั้งแต่การสร้างความร่วมมือกับผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีโดยตรง ผ่านการจัดตั้ง สภาธุรกิจเพื่อจริยธรรม AI (Business Council for the Ethics of AI) ซึ่งเป็นการดึงบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Microsoft, Salesforce, Lenovo และอื่นๆ เข้ามาร่วมวงหารือ เพื่อให้แน่ใจว่าหลักจริยธรรมจะถูกฝังลึกเข้าไปในกระบวนการออกแบบและพัฒนาตั้งแต่ต้นทาง ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่นำมาพิจารณาในภายหลัง
ในขณะเดียวกัน ยูเนสโกได้ขับเคลื่อนวาระนี้ในเวทีการเมืองระดับสูงสุด โดยนำเสนอและผลักดันหลักการของข้อเสนอแนะในเวทีพหุภาคีสำคัญ ทั้งในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ และในการประชุมสุดยอด G20 ซึ่งล่าสุดผู้นำกลุ่มประเทศ G20 ได้ยอมรับถึงความสำคัญของกรอบการทำงานของยูเนสโก และมอบหมายให้ยูเนสโกเป็นหน่วยงานนำในคณะทำงานเฉพาะกิจด้าน AI ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในบทบาทขององค์กร
ในระดับชาติ ยูเนสโกได้พัฒนาเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพอย่าง “แบบประเมินความพร้อมด้านจริยธรรม AI (Readiness Assessment Methodology – RAM)” เพื่อช่วยให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ สามารถสำรวจภูมิทัศน์ วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน และวางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาและกำกับดูแล AI ของตนเองได้อย่างเป็นระบบและสอดคล้องกับหลักจริยธรรมสากล นางอาซูเลย์เปิดเผยว่า “ปัจจุบันเครื่องมือนี้กำลังถูกนำไปปรับใช้ในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก รวมถึง 7 ใน 10 ประเทศอาเซียน และที่สำคัญคือประเทศไทย ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าไทยจะนำเสนอผลการประเมินเบื้องต้นที่น่าสนใจในระหว่างการประชุมครั้งนี้”
นอกจากการวางกรอบนโยบายแล้ว ยูเนสโกยังมุ่งสร้างขีดความสามารถของบุคลากรในภาคส่วนต่างๆ ให้พร้อมรับมือกับความท้าทาย โดยได้จัดการฝึกอบรมให้กับผู้พิพากษาและบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมไปแล้วกว่า 8,000 คนทั่วโลก เพื่อสร้างความเข้าใจในประเด็นทางจริยธรรมที่ซับซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ AI ในการพิจารณาคดี
ประกาศสำคัญ ณ กรุงเทพฯ: เปิดตัวเครือข่ายกำกับดูแล AI ระดับโลก
ในช่วงเวลาสำคัญของปาฐกถา นางอาซูเลย์ได้ประกาศข่าวที่สร้างความตื่นตัวให้กับผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน “ดิฉันมีความยินดีที่จะประกาศการจัดตั้ง เครือข่ายองค์กรกำกับดูแลที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับ AI ระดับโลกของยูเนสโก (UNESCO’s new Global Network of Competent Supervisory Authorities on AI) แห่งใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเป็นเวทีกลางในการสนับสนุนผู้กำหนดนโยบายและองค์กรกำกับดูแลทั่วโลกให้สามารถพัฒนานโยบายและกฎระเบียบด้าน AI ที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกัน โดยเครือข่ายนี้จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในระดับภูมิภาค ณ กรุงเทพมหานคร ในวันพรุ่งนี้”
การประกาศจัดตั้งเครือข่ายระดับโลกแห่งใหม่นี้ในประเทศไทย ถือเป็นการปักหมุดและส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความเชื่อมั่นของประชาคมโลกต่อบทบาทของไทยและภูมิภาคอาเซียน ในฐานะผู้เล่นคนสำคัญที่จะร่วมกำหนดภูมิทัศน์ธรรมาภิบาลเทคโนโลยีของโลกในอนาคต เครือข่ายนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความสอดคล้องของกฎระเบียบข้ามพรมแดน ซึ่งจะช่วยลดภาระและสร้างความแน่นอนให้กับภาคธุรกิจที่ดำเนินงานในระดับสากล ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างเกราะคุ้มครองสิทธิของพลเมืองให้แข็งแกร่งและเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก
บทสรุป: ถึงเวลาที่มนุษยชาติต้องร่วมกันกำหนดอนาคต
ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกได้กล่าวสรุปอย่างจับใจว่า โลกกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์ AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกมิติของชีวิตอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่วิถีการทำงาน การเรียนรู้ ไปจนถึงการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน เทคโนโลยีไม่ใช่พรหมลิขิตที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่เป็นเครื่องมือที่ทิศทางของมันสามารถถูกกำหนดได้ด้วยเจตจำนงและคุณค่าของมนุษย์
“มันขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคนที่จะต้องร่วมกันกำหนดทิศทางให้ AI ดำเนินไปในแนวทางที่มีจริยธรรม ตามคุณค่าที่เราต้องการจะสนับสนุน นี่คือพลังของระบบพหุภาคีที่ยูเนสโกเป็นผู้ขับเคลื่อน ที่ไม่ใช่เป็นเพียงการทำงานร่วมกันของรัฐบาล แต่เป็นการผนึกกำลังของผู้เชี่ยวชาญ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม เพื่อพัฒนานำมาตรฐานทางจริยธรรมร่วมกันมาปรับใช้ และที่สำคัญที่สุดคือการทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” นางอาซูเลย์กล่าวปิดท้าย พร้อมแสดงความขอบคุณต่อประเทศไทยอีกครั้งสำหรับการเป็นเจ้าภาพที่ยอดเยี่ยม และการเป็นเวทีในการส่งสาส์นอันทรงพลังนี้จากกรุงเทพฯ ไปยังประชาคมโลก
การประชุมครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าเพียงเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ แต่เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันของนานาชาติในการที่จะควบคุมม้าพยศแห่งเทคโนโลยี AI ให้อยู่ในบังเหียนแห่งจริยธรรม เพื่อให้แน่ใจว่าการปฏิวัติครั้งนี้จะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองที่แบ่งปันกันอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมสำหรับทุกคนบนโลกใบนี้
#จริยธรรมAI #AIEthics #UNESCO #GlobalForumAI #เศรษฐกิจดิจิทัล #ปัญญาประดิษฐ์ #ประเทศไทย #นโยบายสาธารณะ #ธรรมาภิบาลเทคโนโลยี #ความเหลื่อมล้ำดิจิทัล #Thailand40 #นวัตกรรม