ค่าเงินบาทวันนี้เปิดตลาดแข็งค่าต่อเนื่อง เคลื่อนไหวในกรอบ 32.30-32.55 บาทต่อดอลลาร์ รับอานิสงส์ดอลลาร์อ่อนค่าและราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น นักลงทุนจับตาท่าทีธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ปัจจัยการเมืองและนโยบายการคลังของสหรัฐฯ กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่สร้างความผันผวนให้ตลาดการเงินโลก
กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets) เปิดเผยรายงานประจำวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ประเมินทิศทางค่าเงิน บาท ในวันนี้ว่าจะยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลักมาจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกระแสคาดการณ์ของตลาดที่ให้น้ำหนักกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในอนาคตอันใกล้
เจาะลึก 3 ปัจจัยหลัก หนุนเงิน บาท แข็งค่า
1. การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ และท่าทีของเฟด
ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินบาทในรอบนี้ คือการอ่อนตัวลงของดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นมาตรวัดมูลค่าของเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก 6 สกุล การอ่อนค่าดังกล่าวมีรากฐานมาจากการที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในตลาดการเงินโลกเชื่อมั่นว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด กำลังพิจารณาอย่างจริงจังถึงความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากระดับปัจจุบัน
การส่งสัญญาณหรือแม้แต่การคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยนั้นส่งผลโดยตรงต่อความน่าดึงดูดใจในการถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากผลตอบแทนที่จะได้รับจะลดน้อยลง ทำให้นักลงทุนย้ายเงินทุนออกจากดอลลาร์ไปยังสินทรัพย์หรือสกุลเงินอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า หรือมีความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ปรากฏการณ์นี้ส่งผลให้เกิดแรงเทขายเงินดอลลาร์ และกดดันให้ค่าเงินอ่อนตัวลง ซึ่งเป็นผลดีโดยตรงต่อค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย
2. ราคาทองคำพุ่งสูงหนุนสินทรัพย์ปลอดภัย
อีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนการแข็งค่าของเงินบาทคือการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก โดยปกติแล้ว ราคาทองคำและค่าเงินดอลลาร์มักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง จะทำให้ราคาทองคำในสกุลเงินอื่นถูกลง กระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อทองคำเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง การถือครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย จะมีต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ที่ต่ำลง ทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) มากขึ้น
การที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นยังส่งผลบวกต่อดุลการค้าของประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกทองคำรายสำคัญ ทำให้มีเงินตราต่างประเทศไหลเข้าประเทศมากขึ้น และเป็นอีกแรงหนึ่งที่ช่วยหนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย
3. กระแสเงินทุนไหลเข้า (Capital Inflows)
จากทั้งสองปัจจัยข้างต้น คือแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ และราคาทองคำที่สูงขึ้น ได้สร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้เกิดกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) รวมถึงประเทศไทย เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมองหาผลตอบแทนที่สูงกว่าในภาวะที่ผลตอบแทนในสหรัฐฯ ลดลง การไหลเข้าของเงินทุนเหล่านี้ ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ ส่งผลให้ความต้องการเงินบาทเพิ่มสูงขึ้น และผลักดันให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความท้าทายจากฟากฝั่งสหรัฐฯ: การคลังและการค้า
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางปัจจัยบวกที่หนุนเงินบาท ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนจากฝั่งสหรัฐอเมริกาที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของตลาดการเงินโลกได้ในระยะต่อไป
นโยบายการคลังที่น่ากังวล
ประเด็นสำคัญที่ถูกจับตามองคือความพยายามของพรรครีพับลิกันในการผลักดันร่างมาตรการทางภาษีและการใช้จ่ายของภาครัฐให้ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภา ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า หากร่างกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จะส่งผลให้งบประมาณของสหรัฐฯ ขาดดุลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เกือบ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า
การขาดดุลงบประมาณในระดับสูงนี้อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์ในระยะยาวได้สองทิศทาง ในระยะสั้น การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นอาจกระตุ้นเศรษฐกิจและทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งอาจกดดันให้เฟดต้องชะลอการลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การก่อหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาลจะบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ และอาจกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้ในที่สุด ความไม่แน่นอนในประเด็นนี้จะยังคงเป็นเงาตามตัวที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดต่อไป
ความตึงเครียดทางการค้ายังไม่จบสิ้น
นอกเหนือจากประเด็นด้านการคลังแล้ว นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงสำคัญ รายงานล่าสุดระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาขู่ที่จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นเพิ่มเติม สร้างความกังวลต่อแนวโน้มสงครามการค้าที่อาจปะทุขึ้นอีกครั้งระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่
ในขณะเดียวกัน สถานการณ์การค้ากับสหภาพยุโรป (EU) ดูเหมือนจะมีความคืบหน้าอยู่บ้าง โดยมีรายงานว่า สหภาพยุโรปอาจยอมให้สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราร้อยละ 10 กับสินค้าส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม EU ได้ยื่นเงื่อนไขขอให้สหรัฐฯ ลดอัตราภาษีในภาคส่วนอุตสาหกรรมที่สำคัญบางรายการเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเจรจายังคงดำเนินต่อไปและยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ความไม่แน่นอนในเวทีการค้าโลกนี้ส่งผลให้นักลงทุนต้องประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และอาจเป็นปัจจัยที่จำกัดการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ในบางช่วงเวลา หากนักลงทุนเลือกที่จะกลับไปถือครองดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย
บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต
โดยสรุป ค่าเงินบาทในช่วงนี้ได้รับแรงหนุนจากการแข็งค่าอย่างชัดเจน โดยมีปัจจัยหลักมาจากแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าและราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการและนักลงทุนจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นด้านนโยบายการคลังที่อาจนำไปสู่การขาดดุลจำนวนมหาศาล และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าที่อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดได้ทุกเมื่อ
กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จึงประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 32.30-32.55 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการแข็งค่าแต่ยังคงมีความผันผวนอยู่ สำหรับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออก ควรพิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
#ค่าเงินบาท #เศรษฐกิจ #อัตราแลกเปลี่ยน #SCB #ไทยพาณิชย์ #ธนาคารไทยพาณิชย์ #เฟด #ดอกเบี้ย #ลงทุน #ทองคำ #สหรัฐ #การค้าโลก