รองนายกฯ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ในฐานะประธาน กนช. สั่งทุกหน่วยงานบูรณาการเต็มสูบ รับมือสถานการณ์น้ำและภัยพิบัติทุกรูปแบบ ชูนโยบายเชิงรุกป้องกันและลดผลกระทบ พร้อมกำชับเร่งรัดขยายระบบเตือนภัย “Cell Broadcast” ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนและลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ย้ำชัดรัฐบาลพร้อมเยียวยารวดเร็วและทั่วถึง
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ท่ามกลางสถานการณ์สภาพอากาศที่แปรปรวนและแนวโน้มฝนที่มาเร็วกว่าปกติในปี 2568 รัฐบาลได้ยกระดับการเตรียมความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติอย่างเต็มกำลัง โดยล่าสุด นาย ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและภัยพิบัติ เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
การประชุมครั้งสำคัญนี้มีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.), กรมชลประทาน, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.), และกองทัพ สะท้อนให้เห็นถึงการบูรณาการความร่วมมือในระดับนโยบายเพื่อสร้างเกราะป้องกันภัยให้กับประชาชนและภาคเศรษฐกิจของประเทศ
สถานการณ์น้ำน่าจับตา แต่ยังบริหารจัดการได้
นายประเสริฐ เปิดเผยว่า ปี 2568 นี้ ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ฝนที่มาเร็วกว่าปกติ ทำให้หลายพื้นที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะน้ำท่วมฉับพลัน, น้ำป่าไหลหลาก, ดินโคลนถล่ม และปัญหาน้ำท่วมขัง โดยเฉพาะในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งร่องมรสุมมีกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความเสี่ยงจากปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น แต่จากการรายงานของ สทนช. และกรมชลประทาน ยืนยันว่าระดับน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถบริหารจัดการได้ดี เนื่องจากมีการวางแผนพร่องน้ำไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ เพื่อเตรียมพื้นที่รองรับปริมาณน้ำฝนใหม่ที่จะไหลเข้าอ่างฯ
“ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและมีมาตรการรองรับอย่างเป็นระบบ เราไม่ได้รอให้ปัญหาเกิดแล้วค่อยแก้ แต่เราทำงานเชิงรุกเพื่อป้องกันและลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด” นาย ประเสริฐ กล่าว
นโยบายเชิงรุก: เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส
หัวใจสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ คือการเน้นย้ำนโยบายเชิงรุกของรัฐบาลในการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย วาตภัย หรือธรณีพิบัติภัย โดยนายประเสริฐได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้อย่างชัดเจน
“รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเชิงรุกอย่างเต็มที่ในการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมรับมือกับอุทกภัย วาตภัย และธรณีพิบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การประชุมครั้งนี้จึงเน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานส่วนกลางและพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ประเมินความเสี่ยง และเตรียมมาตรการรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ โดยนโยบายเหล่านี้ นอกจากจะทำให้ลดผลกระทบจากอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว ยังจะทำให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำฝนที่มีปริมาณมากกว่าปกติในการทำการเกษตรได้มากขึ้นอีกด้วย”
คำกล่าวของรองนายกรัฐมนตรีสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดการบริหารจัดการที่ไม่ได้มองเพียงแค่การป้องกันความเสียหาย แต่ยังมองไปถึงการสร้างประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม
เจาะลึกมาตรการสั่งการ: จากการเตือนภัยสู่การเยียวยา
เพื่อให้นโยบายเชิงรุกเกิดผลเป็นรูปธรรม นายประเสริฐได้มอบนโยบายและสั่งการในประเด็นสำคัญหลายประการ ครอบคลุมทุกมิติของการจัดการภัยพิบัติ ดังนี้
- การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย:
- จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า: มอบหมายให้ สทนช. จัดตั้งศูนย์ฯ เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยบัญชาการส่วนหน้าในการเฝ้าระวัง ติดตาม และคาดการณ์สถานการณ์พายุอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง โดยต้องสามารถแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าได้อย่างน้อย 2-3 วัน เพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานในพื้นที่มีเวลาเตรียมตัว
- ยกระดับระบบเตือนภัย: สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและทดสอบระบบเตือนภัยที่มีอยู่ให้พร้อมใช้งานได้จริงและมีประสิทธิภาพสูงสุดอยู่เสมอ
- การเตรียมความพร้อมเชิงพื้นที่:
- เปิดทางน้ำให้โล่ง: สั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งสำรวจและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางทางน้ำ พร้อมประสานงานกับหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (นทพ.) ในการขุดลอกคูคลองและลำน้ำสายหลัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำให้สูงสุด
- เตรียมทรัพยากรให้พร้อม: กำชับให้เตรียมความพร้อมด้านเครื่องจักรกล, อุปกรณ์, อากาศยาน, และเรือ สำหรับการเข้าช่วยเหลือในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ในระดับจังหวัด, การเตรียมพื้นที่อพยพ, ศูนย์พักพิงชั่วคราว พร้อมสำรองอาหาร น้ำดื่ม และจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไว้ล่วงหน้า
- การฟื้นฟูและเยียวยาหลังเกิดภัย:
- สำรวจรวดเร็ว ชดเชยฉับไว: เน้นย้ำให้เร่งสำรวจความเสียหายของบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนทันทีที่สถานการณ์คลี่คลาย เพื่อดำเนินการจ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้รวดเร็วที่สุด ลดภาระและความเดือดร้อนของประชาชน
- ชุดเคลื่อนที่เร็วเข้าถึงทุกพื้นที่: จัดตั้งชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อเข้าไปให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ห่างไกลหรือเข้าถึงได้ยาก โดยให้เป็นการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน จิตอาสา และมูลนิธิต่างๆ อย่างเป็นระบบ ไม่ซ้ำซ้อน และตรงจุด
ชูธง “Cell Broadcast” ระบบเตือนภัยแห่งอนาคต
ประเด็นที่ถูกเน้นย้ำเป็นพิเศษในการประชุมครั้งนี้ คือ ระบบการแจ้งเตือนภัยผ่านเทคโนโลยี Cell Broadcast (CB) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการส่งข้อความเตือนภัยโดยตรงไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่ที่กำหนดพร้อมกัน โดยไม่ต้องลงทะเบียนหรือติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆ
นายประเสริฐ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีโดยตรง ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดการขยายการติดตั้งและใช้งานระบบ Cell Broadcast ให้ครอบคลุมทั่วประเทศโดยเร็วที่สุด เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลการเตือนภัยที่สำคัญอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ กรมทรัพยากรธรณี ซึ่งเฝ้าระวังสถานการณ์แผ่นดินไหวที่อาจเกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านและบริเวณทะเลอันดามัน ให้เตรียมใช้ระบบ CB ในการแจ้งเตือนประชาชนภายใน 1 ชั่วโมง หากประเมินแล้วว่ามีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อประเทศไทย
ในช่วงท้าย นายประเสริฐได้ย้ำว่า รัฐบาลจะเดินหน้าดำเนินมาตรการเชิงรุกเหล่านี้อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว
#ประเสริฐจันทรรวงทอง #กนช #CellBroadcast #เตือนภัยพิบัติ #สถานการณ์น้ำ #รัฐบาลเศรษฐา #กระทรวงดีอี #ป้องกันภัยพิบัติ #น้ำท่วม68 #เตือนภัยแผ่นดินไหว