อีริคสัน เปิดรายงาน Mobility Report ฉบับล่าสุด สะท้อนภาพอนาคตอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยที่กำลังเดินหน้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ คาดการณ์ปริมาณการใช้ดาต้าต่อคนพุ่งเกือบเท่าตัวสู่ 67 GB ภายในปี 2573 ขณะที่สมรภูมิชิงความเป็นผู้นำระหว่าง AIS และ TRUE ทวีความเข้มข้นขึ้นหลังกอดคลังคลื่นความถี่ในมือรวมกันเกือบ 3000 MHz จับตา “5G Standalone” และ “คลื่นย่านกลาง” ตัวแปรสำคัญที่จะปลดล็อกคลื่นนวัตกรรมลูกใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – อีริคสัน ชี้การเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์เทคโนโลยีโลกกำลังหมุนรอบแกนของ 5G อย่างเต็มตัว ผ่านรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด (มิถุนายน 2568) ได้ฉายภาพอนาคตอันใกล้ไว้อย่างชัดเจนว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเชื่อมต่อที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง โดยคาดการณ์ว่าภายในสิ้นทศวรรษนี้ หรือปี พ.ศ. 2573 จำนวนบัญชีผู้ใช้บริการ 5G ทั่วโลกจะพุ่งทะยานแตะระดับ 6.3 พันล้านราย ซึ่งตัวเลขนี้ไม่ใช่เป็นเพียงสถิติ แต่เป็นดัชนีชี้วัดการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจและสังคมครั้งมโหฬาร ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ปริมาณการรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย 5G จะกลายเป็นกระดูกสันหลังของโลกดิจิทัล โดยครองส่วนแบ่งปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนมือถือทั่วโลกสูงถึงกว่า 80% ปรากฏการณ์นี้เป็นทั้งสัญญาณแห่งโอกาสมหาศาลและความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้า โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่มีพลวัตและการแข่งขันสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แนวโน้มการบริโภคข้อมูลดิจิทัลทั่วโลกยังคงเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ในภาพรวมอัตราการเติบโตเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์อาจเริ่มคงที่ แต่ในเชิงปริมาณนั้นกลับเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ข้อมูลล่าสุดจากไตรมาสแรกของปี 2568 พบว่าปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนเครือข่ายมือถือทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นถึง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าตัวตลอดช่วงการคาดการณ์ไปจนถึงสิ้นปี 2573 ซึ่งภาพดังกล่าวสอดคล้องอย่างยิ่งกับแนวโน้มในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย ที่อีริคสันคาดว่าจำนวนผู้ใช้ 5G จะไต่ระดับไปถึง 630 ล้านราย หรือคิดเป็น 49% ของผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมดในภูมิภาคภายในปี 2573
ขณะที่พฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ก็จะดุเดือดยิ่งขึ้น โดยปริมาณการใช้ดาต้าต่อสมาร์ทโฟนจะเติบโตจาก 19 กิกะไบต์ต่อเดือนในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 38 กิกะไบต์ต่อเดือนในปี 2573 ตัวเลขเหล่านี้เปรียบเสมือนสัญญาณเตือนที่ส่งตรงถึงผู้ให้บริการทุกรายให้ต้องเร่งเตรียมความพร้อมของโครงข่ายเพื่อรองรับ “สึนามิแห่งข้อมูล” ที่กำลังจะมาถึง
อนาคตการสื่อสาร 5G ของประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย สถานการณ์กลับมีความน่าสนใจและเข้มข้นเป็นพิเศษ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เครือข่าย 5G ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการบริโภคข้อมูล และเป็นเครื่องมือในการเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งาน (ARPU) ให้กับผู้ประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ รายงานของอีริคสันได้ฉายภาพอนาคตของไทยโดยเฉพาะ พบว่าพฤติกรรมการใช้งานดิจิทัลของคนไทยจะยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นไปอีกระดับ โดยคาดว่าปริมาณการใช้งานดาต้าต่อเลขหมายจะพุ่งจาก 35 กิกะไบต์ต่อเดือนในปี 2568 ไปสู่ตัวเลขที่น่าทึ่งถึง 67 กิกะไบต์ต่อเดือนในปี 2573 ขณะที่ปริมาณการรับส่งข้อมูลทั้งหมดบนโครงข่ายในประเทศจะเติบโตจาก 104 เพตะไบต์ (Petabyte) ต่อวัน เป็น 237 เพตะไบต์ต่อวันในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งสะท้อนถึงวิถีชีวิตดิจิทัลที่ฝังลึกของคนไทย ที่ต้องการความเร็ว ความเสถียร และความจุข้อมูลที่สูงขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
โจทย์ใหญ่ทางธุรกิจที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ขีดความสามารถของโครงข่ายจากผู้ให้บริการจะสามารถรองรับความต้องการที่กำลังจะระเบิดขึ้นนี้ได้อย่างไร และใครจะเป็นผู้ที่พร้อมที่สุดในสนามรบนี้ คำตอบสำคัญอยู่ที่ “คลื่นความถี่” ทรัพยากรล้ำค่าที่เป็นดั่งเส้นเลือดใหญ่ของธุรกิจโทรคมนาคม ภาพสมรภูมิการแข่งขันหลังการประมูลคลื่นครั้งล่าสุดได้เผยให้เห็นถึงศักยภาพและคลังอาวุธของผู้ให้บริการแต่ละรายอย่างชัดเจน โดยผู้เล่นรายใหญ่อย่าง AIS ถือครองคลื่นความถี่รวมมากที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 1460 MHz ตามมาด้วยคู่แข่งคนสำคัญอย่าง TRUE ที่มีอยู่ในมือ 1350 MHz การมีคลื่นความถี่ที่หลากหลายครบทุกย่าน ทั้งย่านความถี่ต่ำ (Low-Band) ที่โดดเด่นด้านการครอบคลุมพื้นที่ในวงกว้าง, ย่านความถี่กลาง (Mid-Band) ที่เปรียบเสมือนจุดสมดุลที่ลงตัวทั้งความเร็วและความครอบคลุม และย่านความถี่สูง (High-Band) สำหรับการอัดฉีดความเร็วสูงสุดในพื้นที่ที่มีการใช้งานหนาแน่น
ทำให้ทั้งสองค่ายยักษ์ใหญ่มีความพร้อมอย่างยิ่งในการวางกลยุทธ์เพื่อชิงความได้เปรียบและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ซับซ้อนขึ้น ในทางกลับกัน NT (บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)) จะมีคลื่นในมือเหลือรวมเพียง 410 MHz หลังวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ซึ่งอาจทำให้ต้องปรับยุทธศาสตร์องค์กรไปสู่การเป็นผู้เล่นในตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) หรือการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับผู้ให้บริการรายอื่นเพื่อความอยู่รอดต่อไป
อย่างไรก็ตาม การมีคลื่นในปริมาณมากเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น นายแอนเดอร์ส เรียน ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย ได้ให้มุมมองที่เฉียบคมต่อสถานการณ์นี้ว่า “เราอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่เครือข่าย 5G และระบบนิเวศมีความพร้อมที่จะปลดปล่อย A Wave of Innovation หรือคลื่นแห่งนวัตกรรม เพื่อให้ 5G ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่จะต้องดำเนินการคือการนำเครือข่าย 5G SA มาใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสร้างฐานย่านความถี่ Mid-Band เพิ่มเติม”
คำกล่าวของแม่ทัพอีริคสันประเทศไทยได้ตอกย้ำความจริงที่ว่า การจะดึงศักยภาพสูงสุดของ 5G ออกมาได้นั้น จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีแกนหลักอย่าง 5G Standalone (SA) ซึ่งเป็นโครงข่าย 5G แท้ๆ ที่ทำงานได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาสถาปัตยกรรมของ 4G เดิม ทำให้สามารถส่งมอบบริการแห่งอนาคตที่มีค่าความหน่วงต่ำเป็นพิเศษ (Ultra-Low Latency) และมีความน่าเชื่อถือสูง (High Reliability) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับยูสเคสใหม่ๆ ทั้งในภาคอุตสาหกรรม เช่น โรงงานอัจฉริยะ, การผ่าตัดทางไกล หรือยานยนต์ไร้คนขับ และในภาคผู้บริโภค เช่น เกมมิ่งบนคลาวด์ หรือประสบการณ์ AR/VR ที่สมจริง ควบคู่ไปกับการขยาย คลื่นย่านกลาง (Mid-Band) ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่าเป็นย่านความถี่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ 5G ในปัจจุบัน แม้เครือข่าย 5G Mid-Band ในยุโรปจะครอบคลุมประชากรเกิน 50% แล้ว แต่ก็ยังถือว่าตามหลังผู้นำอย่างอเมริกาเหนือที่ครอบคลุมเกิน 90% และอินเดียที่ครอบคลุมถึง 95% การเร่งผลักดันให้มีการนำคลื่นย่านกลางมาใช้งานในประเทศไทยจึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ภาครัฐและเอกชนไม่อาจมองข้ามได้
ยิ่งไปกว่านั้น อนาคตของแอปพลิเคชันและบริการบนเครือข่าย 5G จะยิ่งผลักดันให้ความต้องการของโครงข่ายสูงขึ้นไปอีกระดับ โดยเฉพาะเมื่ออุปกรณ์ที่รองรับ generative AI (GenAI) กลายเป็นที่แพร่หลายและแอปพลิเคชัน AI มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น สิ่งที่ผู้ให้บริการต้องให้ความสำคัญมากกว่าที่เคยคือ “ความสามารถในการอัปลิงก์ (Uplink)” และ “ระยะเวลาแฝงในการรับ-ส่งข้อมูล (Latency)” เพราะพฤติกรรมการใช้งานจะเปลี่ยนจากการดาวน์โหลดข้อมูลเป็นหลัก ไปสู่การมีปฏิสัมพันธ์กับ AI ซึ่งต้องมีการส่งข้อมูลเสียงและภาพขึ้นไปยังคลาวด์เพื่อประมวลผลอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ เทคโนโลยีอย่าง “Differentiated Connectivity” หรือการบริหารจัดการคุณภาพการเชื่อมต่อให้แตกต่างกันตามความต้องการของแต่ละบริการ จะกลายเป็นกุญแจสำคัญในการมอบประสบการณ์คุณภาพสูงสำหรับบริการเฉพาะทาง เช่น AI Agent ส่วนบุคคล หรือแอปพลิเคชันการสนทนาอัจฉริยะ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนต้องอาศัยรากฐานที่แข็งแกร่งของเครือข่าย 5G SA เท่านั้น
ในฐานะผู้นำเทคโนโลยี 5G ระดับโลกที่เปิดให้บริการแล้วถึง 187 เครือข่ายทั่วโลก อีริคสันได้ประกาศความพร้อมในการสนับสนุนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของประเทศไทยอย่างเต็มกำลัง “วิสัยทัศน์หลักของเรา คือ การสร้างเครือข่ายการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพสูง เชื่อถือได้ และยั่งยืน เพื่อเร่งการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล เราเชื่อว่าการร่วมมือที่เข้มแข็งในระบบนิเวศเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลได้เต็มที่” มร.แอนเดอร์ส กล่าว
โดยสรุป การมาถึงของยุค 5G อย่างเต็มตัวได้สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายครั้งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย สงครามการแข่งขันไม่ได้วัดกันที่จำนวนผู้ใช้งานหรือโปรโมชันราคาอีกต่อไป แต่คือการแข่งขันด้านคุณภาพของโครงข่าย ความสามารถในการส่งมอบนวัตกรรม และบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์โลกอนาคต สมรภูมิหลังการประมูลคลื่นได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ และผู้ที่จะกำชัยชนะในระยะยาวได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่สามารถบริหารจัดการทรัพยากรคลื่นความถี่ในมือได้อย่างชาญฉลาดที่สุด ควบคู่ไปกับการลงทุนในเทคโนโลยีแกนหลักอย่าง 5G SA และการขยายโครงข่ายย่านกลาง เพื่อรองรับคลื่น цунамиแห่งข้อมูลที่กำลังจะถาโถมเข้ามา และปลดล็อกศักยภาพของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยให้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ
“ด้วยการผนึกกำลังร่วมกัน เรากำลังสร้างอนาคตที่เชื่อมต่อถึงกันให้กับประเทศไทย ซึ่งมีทั้งความครอบคลุม ยืดหยุ่น และพร้อมเปิดรับทุกโอกาสในอนาคต” นายแอนเดอร์ส กล่าวสรุปทิ้งท้าย
#5G #เศรษฐกิจดิจิทัล #EricssonMobilityReport #โทรคมนาคม #AIS #TRUE #คลื่นความถี่ #DigitalTransformation #อีริคสัน #ข่าวเศรษฐกิจ