ไทยผงาดเมืองหลวงอาหารโลก Traveloka ชี้ครอง 80% ค้นหาท็อป 100

ไทยผงาดเมืองหลวงอาหารโลก Traveloka ชี้ครอง 80% ค้นหาท็อป 100

Traveloka เผยข้อมูลเชิงลึก ตอกย้ำสถานะ “เมืองหลวงแห่งอาหาร” ของไทยในเอเชียแปซิฟิก หลังพบกว่า 80% ของประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ถูกค้นหาสูงสุด 100 อันดับแรกอยู่ใประเทศไทย โดยมีกรุงเทพฯ เป็นหัวหอกสำคัญ สอดรับยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งผลักดันประเทศสู่ศูนย์กลางอาหารโลก สร้างเม็ดเงินมหาศาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ท่ามกลางกระแสการท่องเที่ยวโลกที่เปลี่ยนแปลงไป นักเดินทางยุคใหม่ไม่ได้มองหาเพียงแค่สถานที่สวยงาม แต่ยังแสวงหา “ประสบการณ์” ที่น่าจดจำและมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น และหนึ่งในแม่เหล็กที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จากทั่วทุกมุมโลกก็คือ “อาหาร” หรือที่เรียกว่า การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Culinary Tourism หรือ Gastronomy Tourism) ซึ่งกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด และในสมรภูมินี้ “ประเทศไทย” ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นเหนือคู่แข่งในภูมิภาคอย่างชัดเจน

ล่าสุด Traveloka (ทราเวลโลก้า) แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวครบวงจรชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เปิดเผยข้อมูลการจัดอันดับที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นการตอกย้ำภาพความสำเร็จของไทยในฐานะจุดหมายปลายทางของนักชิมทั่วโลก โดยพบว่า

กว่า 80 อันดับ จาก 100 อันดับแรกของประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีการค้นหาสูงสุดบนแพลตฟอร์มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้น อยู่ในประเทศไทย ตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นสัญญาณเชิงบวก แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงความแข็งแกร่งของ Soft Power ด้านอาหารของไทย และเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่การเป็น “ศูนย์กลางอาหารระดับโลก” (Global Food Hub) ภายในปี พ.ศ. 2569

เจาะลึกข้อมูล: กรุงเทพฯ ศูนย์กลางแห่งรสชาติที่ดึงดูดนักชิมทั่วโลก

เมื่อพิจารณาลงลึกในรายละเอียด จะเห็นได้ว่า  กรุงเทพมหานคร คือหัวใจหลักและเป็นแหล่งแม่เหล็กที่ดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวสายกินได้อย่างท่วมท้น ข้อมูลจาก Traveloka ระบุว่า กว่า 60% ของประสบการณ์อาหารและเครื่องดื่มที่ติดอันดับ Top 100 นั้น มีที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของประเทศไทยแห่งนี้ โดยเทรนด์การบริโภคที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่นักท่องเที่ยว

สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 หมวดหมู่หลัก ดังนี้

1. ประสบการณ์รับประทานอาหารสุดหรู: ศิลปะ ความหลากหลาย และความพรีเมียม นักท่องเที่ยวยุคใหม่ไม่ได้มองหาแค่อาหารเพื่อประทังความหิว แต่ต้องการประสบการณ์ที่แตกต่างและน่าประทับใจ หมวดหมู่อาหารที่สะท้อนความต้องการนี้ได้ดีที่สุดคือ

บุฟเฟต์ระดับพรีเมียม, โอมากาเสะ (Omakase), และชุดชายามบ่าย (Afternoon Tea) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างรสชาติอาหารชั้นเลิศ ศิลปะการนำเสนอ และบรรยากาศที่หรูหราเข้าไว้ด้วยกัน สถานที่ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและมีการค้นหาอย่างต่อเนื่องบนแพลตฟอร์ม ได้แก่ Miracle Lounge ที่สนามบินดอนเมือง, W Omakase, YOU&I Premium Shabu Buffet สาขาเซ็นทรัลเวิลด์, Wisdom International Buffet และ Copper Aquarium Restaurant ความนิยมในกลุ่มนี้ชี้ให้เห็นว่านักท่องเที่ยวพร้อมที่จะจ่ายเพื่อแลกกับประสบการณ์ที่คุ้มค่าและสร้างความทรงจำที่พิเศษ

2. ดินเนอร์บนเรือสำราญ: มนต์เสน่ห์แห่งแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืน อีกหนึ่งประสบการณ์ที่ครองใจนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่มองหาความโรแมนติกและความหรูหรา คือ

การล่องเรือสำราญพร้อมรับประทานอาหารค่ำบนแม่น้ำเจ้าพระยา การได้ลิ้มรสอาหารชั้นเยี่ยม เคล้าคลอไปกับเสียงดนตรีสด พร้อมชมทิวทัศน์อันงดงามของสถาปัตยกรรมสองฝั่งแม่น้ำในยามราตรี ถือเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหน เรือสำราญที่ได้รับความนิยมสูง ได้แก่ Meridian Dinner Cruise, Royal Princess Cruise, Chaophraya Cruise, White Orchid Cruise และ Chao Phraya Princess Dinner Cruise กิจกรรมนี้ไม่เพียงตอบโจทย์ด้านอาหาร แต่ยังเป็นการผสมผสานการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและทัศนียภาพเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

3. ร้านอาหารและบาร์บนรูฟท็อป: ดื่มด่ำรสชาติพร้อมวิวเส้นขอบฟ้า เส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าได้กลายเป็นฉากหลังอันงดงามที่ช่วยยกระดับมื้อค่ำให้พิเศษยิ่งขึ้น ร้านอาหารและบาร์บนชั้นดาดฟ้า (Rooftop) จึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศสุดพิเศษ พร้อมจิบค็อกเทลสูตรเฉพาะ และลิ้มลองเมนูอาหารที่รังสรรค์ขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ร้านที่ติดอันดับความนิยม ได้แก่ Sky on 20, Vertigo Rooftop ที่โรงแรมบันยันทรี, Sirocco ที่โรงแรม Lebua, Red Sky Rooftop และ Axis & Spin เป็นต้น

Traveloka

ศักยภาพทั่วไทยและภาพรวมการแข่งขันในภูมิภาค

แม้กรุงเทพฯ จะเป็นผู้นำที่ชัดเจน แต่เสน่ห์ของการท่องเที่ยวเชิงอาหารของไทยไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในเมืองหลวงเท่านั้น ข้อมูลจาก Traveloka ยังชี้ให้เห็นว่าเมืองท่องเที่ยวสำคัญอื่นๆ เช่น

พัทยา, เชียงใหม่, ขอนแก่น, ภูเก็ต และหัวหิน ก็ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวสายกินอย่างต่อเนื่องเช่นกัน สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของไทย นั่นคือ

ความหลากหลายทางวัฒนธรรมอาหาร ตั้งแต่อาหารทะเลสดใหม่ในเมืองชายทะเล อาหารเหนือรสชาติเป็นเอกลักษณ์ในเชียงใหม่ อาหารอีสานรสแซ่บที่ขอนแก่น ไปจนถึงอาหารใต้ที่มีกลิ่นอายวัฒนธรรมผสมผสานในภูเก็ต

เมื่อมองในภาพรวมระดับภูมิภาค ประเทศอื่นๆ ที่สามารถเข้ามาติดอันดับ Top 100 ได้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงอาหารทั่วโลก

  • เวียดนาม ตามมาเป็นอันดับสอง โดยมีเมืองเว้และนิงห์บิงเป็นจุดขายด้านอาหารท้องถิ่นและบุฟเฟต์พื้นบ้านที่นำเสนอเอกลักษณ์ของชาติได้อย่างน่าสนใจ
  • ญี่ปุ่น และ มาเก๊า ครองอันดับสามร่วมกัน โดยญี่ปุ่นโดดเด่นเรื่องเนื้อย่างยากินิกุและบาร์บีคิวระดับไฮเอนด์ในโตเกียว ขณะที่มาเก๊ามีจุดแข็งเรื่องอาหารลูกผสมระหว่างวัฒนธรรมโปรตุเกสและจีนที่เป็นเอกลักษณ์
  • นอกจากนี้ อินโดนีเซีย, ลาว, ฝรั่งเศส, กวม และฮ่องกง ก็ติดอันดับด้วยเช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับอาหารเฉพาะถิ่นมากขึ้น

เบื้องหลังความสำเร็จ: ยุทธศาสตร์ชาติและพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลพวงมาจากการวางยุทธศาสตร์และนโยบายของภาครัฐที่มุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหารระดับโลกอย่างจริงจัง แนวโน้มที่นักท่องเที่ยวตั้งใจเดินทางมาประเทศไทยเพื่อสัมผัสประสบการณ์ด้านอาหารโดยเฉพาะ สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน

โดยรัฐบาลได้ตั้งเป้าว่ารายได้จากการค้าขายอาหารจะเกิน 7 แสนล้านบาท (ประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ) ภายในปี 2568 ขณะที่ นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ได้คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมอาหารโดยรวมจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

ด้าน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เดินหน้าจัดแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้จัดแคมเปญ “เมืองน่าเที่ยว Year of Celebration” ในช่วงฤดูฝน หรือ Green Season (มิถุนายน–กันยายน 2568) เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวใน 55 เมืองรอง หนึ่งในธีมหลักคือ “Gastro Nomad #ตามหารส” ซึ่งออกแบบมาเพื่อนักท่องเที่ยวที่หลงใหลในการกินโดยเฉพาะ โดยมีเป้าหมายในการเข้าถึงนักท่องเที่ยวมากกว่า 10 ล้านคน และคาดว่าจะสร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

บทบาทของเทคโนโลยีและอนาคตที่สดใส

ในยุคดิจิทัล แพลตฟอร์มเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวอย่าง Traveloka มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้ประกอบการกับนักท่องเที่ยวทั่วโลก Traveloka ไม่เพียงแต่เป็นช่องทางในการค้นหาและจองดีลสุดพิเศษ แต่ยังทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ประสบการณ์การเดินทางที่น่าจดจำ

สำหรับ Traveloka แล้ว การท่องเที่ยวเชิงอาหารไม่ใช่แค่ “เรื่องการกิน” แต่คือประสบการณ์ที่เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับวัฒนธรรม ชุมชน และความทรงจำอันล้ำค่า ซึ่งอาหารไทยสามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ความคุ้มค่า และความหลากหลายที่พร้อมมอบประสบการณ์ที่แท้จริงและยากจะลืมเลือน

โดยสรุป ข้อมูลจาก Traveloka ได้ยืนยันอย่างเป็นรูปธรรมถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็น “เมืองหลวงแห่งอาหาร” ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยความแข็งแกร่งของกรุงเทพฯ และความหลากหลายของเมืองท่องเที่ยวทั่วประเทศ ประกอบกับการสนับสนุนเชิงยุทธศาสตร์จากภาครัฐ และพลังของแพลตฟอร์มเทคโนโลยี อนาคตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงอาหารของไทยจึงมีความสดใส และพร้อมที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารอันดับหนึ่งของโลกต่อไป

#ท่องเที่ยวเชิงอาหาร #GastronomyTourism #Traveloka #อาหารไทย #เศรษฐกิจไทย #ททท #กรุงเทพ #เมืองหลวงแห่งอาหาร #SoftPower #AmazingThailand

Related Posts