เอปสัน (ประเทศไทย) พร้อมปล่อยตลาดเวียดนามให้เริ่มดูแลตัวเอง หลังช่วยสร้างฐานและดูแลตลาดมานานกว่า 20 ปี จนสามารถเปิดออฟฟิศเป็นของตนเองได้ นับจากนี้จะมุ่งไปเน้นทำตลาดประเทศอื่นที่ยังดูแลอยู่ให้มากขึ้น ส่วนตลาดไทยมั่นใจอีก 3 ปี อิงค์เจ็ทพรินเตอร์ครองสัดส่วนเกิน 3 ใน 4 พรินเตอร์ในกลุ่มองค์กรธุรกิจ พร้อมเดินหน้ารุกตลาดองค์กรธุรกิจในไทยเพื่อรักษาระดับการเติบโตต่อเนื่อง
เดิมตลาดต่างประเทศภายใต้การดูแลของเอปสัน ประเทศไทย ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม และปากีสถาน แต่สำหรับการดำเนินงานในปีนี้เอปสันประเทศไทยจะไม่ได้เข้าไปดูแลตลาดเวียดนามเหมือนในอดีต
เพราะขณะนี้เวียดนามมีความพร้อมที่จะเปิดออฟฟิศเป็นของตนเอง มีผู้บริหารเป็นชาวญี่ปุ่นเข้าไปดูแล แต่ในส่วนของไทยนั้นจะยังคงช่วยเหลือเป็นเป็นที่ปรึกษา รวมไปถึงช่วยในเรื่องการดำเนินการด้านต่างๆ เหมือนเดิม เพียงแต่จะไม่นำรายได้ในส่วนของเวียดนามเข้ามารวมอยู่ในรายได้ของไทย
นายโตชิมิตสุ ทานากะ กรรมการผู้จัดการ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) บริษัท เอปสัน สิงคโปร์ จำกัด กล่าวว่า กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2017 (ปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมีนาคม2017) ของเอปสันประเทศไทยคาดว่าจะยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตไว้ได้ตามเป้าที่ 7%
โดยแบ่งเป็นตลาดประเทศไทยเติบโต 6% และตลาดต่างประเทศภายใต้การดูแลของเอปสัน ประเทศไทย ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนามและปากีสถาน รวมมีผลประกอบการเพิ่มขึ้น 14% (โดยสัดส่วนของรายได้ปี 2017นั้นแบ่งเป็นตลาดไทย 79% และต่างต่างชาติ 21%
ซึ่งเวียดนามครองรายได้ในส่วนของตลาดเวียดนาม 55%) ส่วนเป้าหมายทางธุรกิจในปี 2018 เอปสันตั้งเป้าเติบโตรวม 7% โดยแบ่งเป็นตลาดประเทศไทยที่ 5% และตลาดต่างประเทศ 15%
“สำหรับการดำเนินงานในปี 2018 นั้นแม้ว่าทางเอสสันประเทศไทยจะยังคงช่วยดูแลการทำตลาดให้กับเวียดนาม แต่จะไม่ได้นำรายได้เข้ามารวมกับรายได้ของไทยเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพราะจะนำไปเป็นรายได้ในส่วนของเอปสันสิงคโปร์แทน”
“โดยการทำธุรกิจในปีนี้เอปสันเวียดนามนอกจากจะมีออฟฟิศเป็นของตนเองแล้ว จะยังสามารถทำตลาดและจัดโปรโมชันได้ด้วยตนเอง ภายใต้การดูแลของผู้บริหารญี่ปุ่นที่จะถูกส่งเข้าไปดูแล สำหรับทีมงานของไทยนั้นยังจะเป็นผู้ช่วยเหลือในด้านต่างๆ เหมือนเดิม เพื่อช่วยให้ตลาดเวียดนามมีความแข็งแกร่งมากขึ้น”
ด้านนายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้จัดการทั่วไปด้านการขาย ผลิตภัณฑ์ และการตลาด บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์ทางธุรกิจสำหรับปี 2561 นั้น เอปสันจะโฟกัสอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ความเร็วสูงสำหรับองค์กร ขนาดใหญ่ เลเซอร์โปรเจคเตอร์และหุ่นยนต์แขนกล
ในส่วนของธุรกิจพรินเตอร์จะยังคงเน้นทำตลาดกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจเป็นหลักตั้งแต่ขนาดเอสเอ็มอีไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ด้วยการนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยจะยังคงนำเสนออิงค์เจ็ทพรินเตอร์เป็นตัวนำ
“ที่ผ่านมาพบว่าปริมาณความต้องการใช้เลเซอร์พรินเตอร์ในตลาดธุรกิจลดลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับยอดขายของอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ที่เพิ่มสูงขึ้น จนเอปสันเชื่อว่าภายใน 3 ปีจากนี้ หรือปี 2563 อิงค์เจ็ทพรินเตอร์จะขึ้นมาเป็นมาตรฐานการพิมพ์ใหม่ขององค์กรธุรกิจอย่างแน่นอน ด้วยส่วนแบ่งมากกว่า 75% หรือ 3 ใน 4 ของพรินเตอร์ ทั้งหมดในตลาดองค์กรธุรกิจ”
โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์อิงค์แท็งค์พรินเตอร์ของเอปสันสามารถทำยอดขายเติบโตได้ถึง 7% ในปีที่ผ่านมา ในขณะที่ภาพรวมตลาดไม่โต และยังรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 46% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมจากการใช้อิงค์เจ็ทพรินเตอร์แบบตลับหมึกและเลเซอร์พรินเตอร์ขาวดำรุ่นเล็ก มาใช้อิงค์แท็งค์พรินเตอร์แทน เพราะต้องการประหยัดต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่น ต้องการพิมพ์สี และพิมพ์ในปริมาณที่สูงขึ้น
เช่นเดียวกับตลาดโปรเจคเตอร์ มียอดขายเติบโตขึ้น 6% และยังเป็นเจ้าตลาดด้วยส่วนแบ่งตลาดรวมถึง 46% โดยมี ปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ สามารถจำหน่ายเครื่องระดับกลางและระดับบนได้มากขึ้น บวกกับมีการออก ผลิตภัณฑ์ใหม่และทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง
สอดคล้องกับกลุ่มผลิตภัณฑ์พรินเตอร์ระดับมืออาชีพสามารถทำยอดขาย เพิ่มขึ้น 9% เนื่องจากธุรกิจโฟโต้แล็บมีการขยายตัวอย่างมากและนิยมใช้ระบบดิจิทัลกันมากขึ้น เพื่อรองรับทุกประเภทงานพิมพ์ได้อย่างครบวงจร ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 650 แล็บทั่วประเทศใช้พรินเตอร์ของเอปสันรวมมากกว่า 1,000 เครื่อง
สำหรับไฮไลท์ในปี 2561 จะนำเสนอเลเซอร์โปรเจคเตอร์ที่มีทั้งความทนทานใช้งานได้นาน ถึง 20,000 ชั่วโมง ทั้งยังใช้ LCD Panel และ Phosphor Wheel แบบ Inorganic ที่ทนความร้อนสูงได้นาน ทำให้ สามารถเปิดใช้งานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยยังฉายภาพที่สวยสดใส คุณภาพไม่ตก มีประสิทธิภาพในการฉายภาพ ระดับ 4K
โดยจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างน้อย 5 รุ่น ในทุกช่วงระดับความสว่างทั้ง 2,000 ลูเมนท์ สำหรับลูกค้าในธุรกิจร้านค้าขนาดเล็ก หรือใช้ตามบ้าน เครื่อง 4,000 – 6,000 ลูเมนท์ สำหรับสถาบันศึกษาและองค์กรธุรกิจ และ 6,000 ลูเมนท์ขึ้นไป เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่และต้องการภาพขนาดใหญ่ที่มีความสว่างและความละเอียดของภาพสูง เช่น ห้องจัดงานเลี้ยง หอประชุม โรงละคร พิพิธภัณฑ์ หรืองานอีเว้นท์เอาท์ดอร์
นายยรรยง กล่าวว่า สำหรับธุรกิจน้องใหม่อย่างกลุ่มหุ่นยนต์แขนกลนั้น ในปัจจุบันอุตสาหกรรมตื่นตัวในการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในสายการผลิตเพื่อเพิ่มผลิตผล ปรับปรุงคุณภาพผลผลิต ลดต้นทุนและพัฒนาศักยภาพการทำงานเพิ่มขึ้น ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าภาคการผลิตของประเทศไทยราว 50% จะเริ่มใช้งานหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติภายใน 1 – 3 ปี
ขณะที่ธุรกิจขนาดกลางจะพร้อมในอีก 3 – 5 ปี เอปสันได้เริ่มนำหุ่นยนต์แขนกล SCARA Robot และ 6-Axis Robot เข้ามาทำตลาด ซึ่งเหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วและความแม่นยำสูง ใช้งานในพื้นที่จำกัดได้ดีเพราะมีขนาดกระทัดรัด โดยตลาดเป้าหมายของเอปสันอยู่ที่กลุ่มโรงงานผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับตลาดต่างประเทศนั้นในปีที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ที่เติบโตสูงสุดคืออิงค์แท็งค์พรินเตอร์ที่ขยายตัวถึง 70% เนื่องจากตลาดเริ่มให้การยอมรับข้อได้เปรียบของอิงค์แท็งค์พรินเตอร์มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ตามมาด้วยโปรเจคเตอร์ที่เติบโตขึ้น 43%
โดยมีตลาดสถาบันการศึกษาและองค์กรธุรกิจเป็นตลาดสำคัญที่เริ่มนำเครื่องระดับกลางและระดับบนไปใช้มากขึ้น ดังนั้นในปีนี้เอปสันยังเดินหน้าสร้างตลาดใหม่อย่างต่อเนื่องผ่านเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ