บลจ.บางกอกแคปปิตอล เปิดตัว BCAP Smart Index Series จำนวน 5 ดัชนี “5 ไสตล์การลงทุน” สร้างโอการทางการลงทุนแบบ ETF ที่ใช้เทคโนโลยีในการลงทุนแบบมีวินัยการลงทุนสูงสูด แทนการเลือกโดยนักลงทุนเอง
ช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการลงทุนได้อย่างยั่งยืน ด้วยประสบการณ์ที่ได้รวบรวมการวิจัยมานานกว่า 15 ปี เพื่อสร้างสูตรสำเร็จของการวิเคราะห์โอกาสให้เกิดขึ้นกับสมาร์ท อินเด็กซ์
นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล จำกัด หรือ BCAP เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดทำดัชนีการลงทุนอัจฉริยะของตลาดหุ้นไทย (BCAP Smart Index Series) จำนวน 5 ดัชนี
โดยให้ S&P Dow Jones Indices ซึ่งเป็นบริษัทผู้จัดทำดัชนีชั้นนำของโลก เป็นผู้คำนวณและเผยแพร่ดัชนีดังกล่าว โดยบริษัทฯ จะทยอยออกกองทุน ETF จำนวน 5 กองทุน เพื่อลงทุนตามดัชนีใหม่ที่สร้างขึ้นมา
นับเป็นอีกขั้นในการพัฒนาทางเลือกให้กับนักลงทุนผ่านกองทุน ETF จากที่ปัจจุบันบริษัทฯ มีกองทุน ETF ที่ลงทุนตามดัชนีที่ครอบคลุมบริษัทไทยทั้งขนาดใหญ่กลางและเล็กแล้ว
สำหรับภาพรวมธุรกิจของ BCAP นับตั้งแต่เปลี่ยนโครงสร้างครั้งใหญ่ มาเป็นบริษัทจัดการกองทุนเต็มรูปแบบภายใต้ชื่อ บลจ. บางกอกแคปปิตอล ก็ได้ทุ่มเทเวลาและทรัพยากรอย่างมากในการปรับปรุงระบบงาน รวมทั้งเสริมกำลังทีมบริหารครั้งใหญ่
โดยบริษัทฯเริ่มต้นธุรกิจกองทุนรวมด้วยการออกกองทุนเปิด BCAP MSCI Thailand ETF ในเดือน มิ.ย.2559 ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ทั้งนักลงทุนสถาบันและรายย่อยด้วยขนาดกองทุนกว่า 1,000 ล้านบาท
และในเดือนก.ย.2560 ออกกองทุนเปิด BCAP SET 100 ETF ตอกย้ำความสำเร็จด้วยขนาดกองทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาทเช่นกัน

ETF ของเราจะให้ความสำคัญกับสภาพคล่องที่เกิดขึ้น เนื่องจากราคาที่ดีแต่ไม่สามารถขายได้ก็เป็นหุ้นที่ไม่น่าสนใจ
นายธนาวุฒิ พรโรจนางกูร หัวหน้าสายงานจัดการกองทุน บลจ.บางกอกแคปปิตอล เปิดเผยว่าการลงทุนที่ผ่านมาเป็นเรื่องยาก ทำให้นักลงทุนหนีหายออกจากตลาดหุ้นมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ก็มีการเสนอว่างั้นให้ลงทุนผ่านกองทุนเพื่อไม่ต้องเลือกเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือวิธีการเลือกกองทุนที่มีอยู่หลายกองในตลาดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะไม่ว่าจะเป็นการลงทุนกับหุ้นโดยตรง หรือจะเลือกกองทุนก็มีความยากพอๆกัน ดังนั้นการเกิดขึ้นของ Smart Index จากผลวิจัยที่มีมาอยู่แล้วในกว่า 60 ปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างให้เกิดโมเดลในการลงทุนในประเทศไทย
จนสามารถสร้างโมเดลจากการใช้บลูเบรด ด้วยการคัดเลือกหุ้นที่จับต้องได้ ด้วยปัจจัยที่เกี่ยวข้อง แล้วมาสร้างระดับควมสำคัญตามการลงทุน
หลังจากนั้นก็มาสร้างเป็นดัชนี ด้วยการทำงานร่วมกับ S&P เพื่อคำนวนและเผยแพร่ออกสู่สาธารณะในตลาดโลก ภายใต้ดัชนีการทำงานของประเทศไทย ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา
และเมื่อนักลงทุนเข้ามาลงทุนในดัชนีของเรา ในรูปแบบของ VI ซึ่งดัชนีนี้จะเลือกรูปแบบการลงทุนให้อัตโนมัติภายใต้การมีวินัยอย่างสูงสุด แทนนักลงทุนตัวจริง
แนวคิดการลงทุนแบบมีประสิทธิภาพตามดัชนีมีความเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมมูลค่าเงินที่บริหารอยู่มีอยู่ราวหลักแสนล้าน กลับมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้นราวล้านล้านบาทอย่างรวดเร็ว
การลงทุนแบบ VI ที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจ นับเป็นกลยุทธ์ที่ต้องใช้การพิจารณาอย่างรอบครอบ ซึ่งต้องใช้องค์ความรู้จากหลากหลายปัจจัยในการพิจารณา โดยจะต้องเป็นหุ้นที่ราคาถูกและมีคุณภาพ พร้อมมีโอกาสในการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน
ซึ่งนับเป็นความยากที่จะทำเอง หากแต่ดัชนีจะมีการปรับให้อัตโนมัติ พร้อมทั้งดัชนีจะทำการซื้อขายให้ตามกลยุทธ์ที่เรากำหนดไว้แบบอัตโนมัติ
ขณะที่หุ้นที่มีโมเมเนตั้มดี ดัชนีจะเรียนรู้แนวโน้มการขึ้นของหุ้นแล้วพิจารณาความเสี่ยงที่เกิดขึ้น แล้วทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบเมื่อเกิดความเสี่ยงที่มากเกินไป ซึ่งพร้อมทำการซื้อขายขึ้นใหม่ตามตลาดปัจจุบัน
ในด้านของการลงทุนแบบคุณภาพนั้น จะมีนิยามการเลือกหุ้นอยู่ที่ความสามารถของหุ้นในการเอาชนะภาพรวมตลาดได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่เกิดจากส่วนผลกำไรที่เกิดจากโครงสร้างธุรกิจหลัก มากกว่าความสามารถของผู้บริหารที่เก่งจนสามารถรีดกำไรของธุรกิจออกได้เพียงอย่างเดียว
ในมุมของการปรับพอร์ตนั้นจะให้น้ำหนักกับการปรับพอร์ตตามภาวะตลาดที่มีอย่างมีวินัยทางการลงทุน ผ่านการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้วยสมาร์ทดัชนีที่เราสร้างเงื่อนไขขึ้น
ทั้งนี้สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่รายงานของ S&P ของตลาดดาวน์โจนส์ ซึ่งแนวทางเช่นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการลงทุนลงได้
สุดท้ายเป็นการเลือกหุ้นที่มีการจ่ายปันผลที่ดีที่สุด โดยเรามีเกณฑ์คัดกรอง ด้วยเงือนไขที่ไม่แพงเกินไป แนวโน้มดี ขณะที่ตลาดไม่ได้ไร้อนาคต มากกว่าการพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่ง
วันนี้เรากำลังจะแนะนำ 3ตลาด 5 กลยุทธ์ที่สำคัญของการลงทุน โดยที่นักลงทุนไม่ต้องเลือกหุ้นเอง แต่สร้างโอกาสทางการลงทุนแบบอัตโนมัติ ในภาวะตลาดใดตลาดหนึ่งตามสถานะการณ์นั้นๆ ซึ่งจะครอบคลุม ETF ที่เป็นเรื่องของหุ้นกว่า 35 ตัว
ทั้งนี้จากข้อมูล เอสแอนด์พี ดาวน์โจน ในระยะยาวแล้ว หุ้นดัชนี้ที่เลือกผ่าน สมาร์ทอินเด็กซ์ สามารถชนะ 100 อินเด็กซ์ของตลาดได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งมีความสามารถที่ง่ายต่อการลงทุนแบบหุ้นรายตัว นักลงทุนสามารถเลือกได้ ง่ายในการลงทุนแบบอัตโนมัติ มีความโปร่งใสและชัดเจนในการลงทุน และสุดท้ายการลงทุนแบบ ETF ช่วยให้ลงทุนได้ง่ายแบบหุ้นรายตัว
โดยคาดว่าจะสามารถใข้งานดัชนีอัจฉริยะในราวเดือนเมษายนนี้ โดยจะทยอยออกอย่างต่อเนื่อง นับเป็นการกระจายความเสี่ยงในหุ้น ETF ที่มีอยู่ราว 35 ตัว ด้วยกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่ดี ภายใต้การปรับพอร์ตทุกเดือน พร้อมปรับ 1 ปีต่อรอบ
ขณะที่ดัชนีแบบโมเมนตัม อาจจะมีการปรับพอร์ตปีละ 2หน เพื่อรองรับการผันผวนที่จะเกิดขึ้นจากรูปแบบลงทุนที่ผันผวนมากกว่านั่นเอง