ดีแทค เดินหน้ากระตุ้นการจัดสรรคลื่นความถี่จากกสทช.อีกครั้ง รอบนี้แนะให้กสทช.จัดทำแผนจัดสรรคลื่นความถี่ทั้งย่านสูง-กลาง-ต่ำ และระบุช่วงเวลาจัดสรรชัดเจน รวมไปถึงการแผนปรับปรุงคลื่นความถี่ เพื่อพัฒนาสู่ 5G อย่างยั่งยืน และหาความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ
โดย ดีแทค มองว่าความถี่คือสิ่งสำคัญยิ่งในการปูพื้นฐานสู่ 5G เพราะการใช้งานและการทดสอบบริการต่างๆ จะทำให้เห็นถึงความต้องการใช้คลื่นความถี่ที่กว้างขึ้น ซึ่งประเทศไทยควรทำแผนจัดสรรคลื่นความถี่ให้ดีก่อนการจัดสรรคลื่นครั้งต่อไป
รวมถึงการออกแบบการประมูลที่ดีจะทำให้กำหนดราคาคลื่นความถี่ที่ยุติธรรมในการทำตลาด และป้องกันราคาประมูลที่สูงเกินจริง
ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการกำหนดแผนและการนำคลื่นย่านความถี่ต่างๆ ที่ชัดเจนมาใช้งาน
เพราะการจะให้บริการ 5G ได้นั้นต้องมีคลื่นความถี่ที่เพียงพออย่างน้อย 100 MHz ต่อราย และจะต้องมีการกำหนดราคามูลค่าคลื่นความถี่ที่เหมาะสมและยืดหยุ่นในการลงทุน รวมไปถึงภาครัฐต้องสนับสนุนแนวทางกำกับดูแลในการขยายโครงข่าย 5G ในเรื่องการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน
หรือจัดทำหน่วยงานกลางรับผิดชอบในรูปแบบ Infrastructure Company โดยจะต้องสนับสนุนให้ใช้ภาคเอกชนลงทุนได้มีประสิทธิภาพสูงสุดและขยายโครงข่ายได้รวดเร็ว ซึ่งดีแทคพร้อมที่จะประสานงานและสนับสนุนภาครัฐทุกหน่วยงาน
ล่าสุด ดีแทค ได้นำพันธมิตรอย่างแคทและทีโอที เข้ามาร่วมนำเสนอความเป็นไปได้ของการใช้งานคลื่นความถี่ ด้วยการทำการทดสอบรูปแบบใช้งาน 5G ที่เหมาะกับประเทศไทย ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในส่วนของการพัฒนา 5G ที่จะมีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน ทั้งอุปกรณ์โครงข่ายและคลื่นความถี่ต่างๆ
รวมไปถึงจะเป็นการนำความรู้ความเชี่ยวชาญโทรคมนาคมของแต่ละฝ่ายมาแบ่งปันและต่อยอดการทดสอบร่วมกัน แบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน ทำให้แต่ละฝ่ายไม่ต้องเริ่มต้นใหม่แต่สามารถนำประสบการณ์ที่ได้มารวมกันเพื่อพัฒนาไปข้างหน้า รวมถึงศึกษาถึงข้อจำกัดและอุปสรรคทั้งในด้านเทคโนโลยีและระเบียบข้อกฎหมายต่างๆ
โดยที่ผ่านมาดีแทคได้ยื่นดำเนินการขอนุญาตทดสอบ 5G ต่อ กสทช เป็นที่เรียบร้อย ทั้งข้อเสนอในการใช้คลื่นความถี่ และการทดสอบทั้งแบบ Standalone (SA) ซึ่งเป็นการทดสอบโดยใช้เฉพาะคลื่น 5G และ Non-Standalone (NSA) หรือการทดสอบการทำงานของเทคโนโลยี 5G ร่วมกับ 4G
โดยดีแทคจะทดสอบทั้ง การทดสอบในห้องปฎิบัติการ ก่อนนำสู่การทดสอบในสภาพแวดล้อมจริง และการทดสอบในสภาพแวดล้อมจริง
เช่น พื้นที่บริเวณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สยามสแควร์ เป็นต้น และรวมถึงการทดสอบทางไกล เป็นการทดสอบโดยเชื่อมต่อสถานีฐาน 5G จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปยังโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่หลักต่างพื้นที่
ในโครงการทดสอบ 5G EEC ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา เพื่อใช้ทดสอบกรณีใช้คลื่น 5G ต่างพื้นที่ร่วมกัน ตัวอย่างเช่นการรักษาผ่านทางไกล หรือสมาร์ทเฮลธ์แคร์ เป็นต้น
นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อดูแลความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมในการทดสอบ 5G ร่วมกัน และจัดทำแผนสู่ 5G (5G Road map)
พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับ กสทช. เพื่อกำหนดอนาคต 5G และแผนการทดสอบร่วมกัน โดยภายในเดือนเมษายนการทดลองทดสอบการใช้งานจริง (Use case) จะเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมจับต้องได้ว่าจะใช้การทดลองทดสอบในกรณีไหน
นางอเล็กซานดรา ไรช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า ความร่วมมือคือหลักการสำคัญที่จะพัฒนา 5G รวมทั้งการทดลองและทดสอบจะต้องร่วมประสานกันระหว่างภาครัฐและอุตสาหกรรม
และการที่ภาครัฐจะต้องเข้ามาร่วมส่งเสริมการใช้ 5G ให้ขยายออกไป และรวมถึงการเริ่มต้องสมาร์ทซิตี้ และการใช้ 5G สำหรับสาธารณะ สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นและสามารถพัฒนาร่วมกันอย่างยั่งยืน
ดังนั้นการทำ 5G ในเมืองไทยให้ประสบความสำเร็จจึงต้องเริ่มต้นที่การสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างภาครัฐบาล กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มผู้ใช้งาน และการทดสอบโครงการธุรกิจตามการใช้งานจริงร่วมกัน
เพื่อนำสู่การวิเคราะห์ภาพรวมทั้งเทคโนโลยี และข้อกฎหมายสู่บริการเพื่อผู้ใช้งาน และหาจุดสมดุลย์ของความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อน 5G ทั้งระบบนิเวศ
ดีแทคได้จัดทำโซลูชัน “ฟาร์มแม่นยำ” เพื่อเตรียมพร้อมสู่ 5G ที่สามารถปลดล็อกมูลค่ามหาศาลให้แก่เกษตรกรของประเทศไทยได้ ซึ่งทำให้เห็นได้ว่าการทำเกษตรกรรมยุคใหม่จะต้องใช้ประโยชน์ของดิจิทัลและความสามารถของ 5G มาต่อยอดเพื่อทำรายได้เพิ่มมากขึ้น และยังเตรียมยกระดับสู่โซลูชันฟาร์มแม่นยำ (Precision Farming) แบบเรียลไทม์ด้วยการใช้โดรน 5G ต่อไป
ดร.มนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที (จำกัด) มหาชน กล่าวว่า เราเห็นความร่วมมือกันมากขึ้นสำหรับการใช้งานเครือข่าย 5G ซึ่งรวมถึงภาครัฐที่ต้องมาจัดการเรื่องมาตรฐานในการสร้างโครงข่ายที่สามารถใช้ร่วมกัน ต้องแฟร์ต้องเหมาะสมสำหรับทุกคน
เพราะไทยมีความจำเป็นต้องมีโครงข่าย 5G อย่างน้อยต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งทีโอที มีศักยภาพความพร้อมที่จะเป็นหน่วยงานกลางในการพัฒนาโครงข่าย 5G ของประเทศ
ทั้งด้านเงินทุน ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และบุคลากรที่มีประสบการณ์ที่พร้อมจะร่วมเป็นกลไกหลักของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี 5G
“ความร่วมมือการทดสอบ 5G เป็นสิ่งสำคัญในอุตสาหกรรมเพื่อหาข้อสรุปและแนวทางก่อนจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ สำหรับทีโอทีมองว่าปัจจัยที่สำคัญต้องมีหน่วยงานกลางที่ดูแลเสาอัจฉริยะ (Smart pole)
ซึ่งเป็นเสาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลยุค 5G ที่ออกแบบให้ใช้งานโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน (Infrastructure sharing) ซึ่งจะทำให้การขยายสัญญาณ 5G และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทยเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
เปิดโอกาสส่งเสริมผู้ให้บริการรายใหม่ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่สามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมได้มากขึ้น รวมถึงเป็นการลดต้นทุนและเวลาของประเทศในการติดตั้งซ้ำซ้อน ที่สำคัญสามารถทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและเทคโนโลยีขั้นพื้นฐานได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น”
ด้านพันเอก ดร. สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การทดสอบร่วมกันถือเป็นก้าวสำคัญของไทยในการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามา ซึ่งความร่วมมือจะเป็นของทุกภาคส่วนที่จะได้ประโยชน์ร่วมกัน
โดย CAT ได้ร่วมมือทดสอบ 5G โดยนำโครงการ “PM2.5 Sensor for All” เข้าร่วม โดยข้อมูลของคุณภาพอากาศที่ได้ จะจัดเก็บไว้แบบเรียลไทม์ด้วยระบบคลาวด์ ผ่านเซ็นเซอร์ในพื้นที่แต่ละแห่ง
ในอนาคตเมื่อใช้งานบนโครงข่าย 5G แล้ว จะสามารถยกระดับจาก IoT สู่ massive IoT โดยการติดตั้งเซ็นเซอร์จำนวนมากได้เพิ่มขึ้นและแม่นยำยิ่งขึ้น
และยังสามารถนำมาออกแบบสู่แหล่งข้อมูลกลาง ที่เก็บค่าดัชนีคุณภาพอากาศจากทุกพื้นที่ นำมาประมวลผลร่วมกัน (Calibrate) เป็นบิ๊กดาต้า (Big Data) บนคลาวด์ที่มีค่าดัชนีคุณภาพอากาศของไทยมาตรฐานกว่าที่เคยมีรายงานมาก่อน
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค