SCB วิเคราะห์แผลสหรัฐ ต้นเหตุคว่ำบาตร ‘หัวเว่ย’

SCB วิเคราะห์แผลสหรัฐ ต้นเหตุคว่ำบาตร ‘หัวเว่ย’

ผลการวิเคราะห์กรณีสหรัฐฯ เริ่มทำสงครามการค้าระลอกถัดไปกับจีน ด้วยการสั่งคว่ำบาตร ‘หัวเว่ย’ ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่สุดของจีน และผู้ให้บริการ 5G ชั้นนำของโลก

โดย ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้ความเห็นว่า การกระทำครั้งนี้เชื่อว่าสหรัฐฯ ต้องการใช้การคว่ำบาตรมางัดข้อกับจีน เพื่อให้สงครามการค้ายุติอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็มีความต้องการที่จะควบคุมหัวเว่ยในระยะยาว

ด้านจีนเองก็ใช้กระแสข่าวเป็นกลยุทธ์ในการต่อสู้ เช่น ขู่ว่าจะคว่ำบาตรการส่งออกแร่ธาตุหายาก (Rare earth) รวมถึงปลุกกระแสชาตินิยม โดยจีนหวังว่าจะส่งผลทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น และเทขายสินทรัพย์ทางการเงินในสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้น อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันผลตอบแทนตลาดหุ้นจีนยังคงต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ทั้งนี้การที่สงครามการค้าแปรเปลี่ยนมาเป็นสงครามด้านเทคโนโลยี ในขณะที่จีนก็หันมาปลุกกระแสชาตินิยม ทำให้มีโอกาสสูงมากที่สหรัฐฯ จะยังคงเก็บภาษีนำเข้าสินค้ามูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากจีนไว้ที่ระดับ 25% หลังการประชุม G-20 ที่จะมีขึ้นตอนปลายเดือนมิถุนายน

ทั้งนี้เป็นเพราะทั้งสองฝ่ายมีจุดยืนที่แตกต่างกันมาก อย่างไรก็ตาม เรายังคงเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายจะลดภาษีนำเข้าลงในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า และสหรัฐฯ อาจจะระงับการคว่ำบาตรหัวเว่ยเป็นการชั่วคราว เหมือนกับที่เคยทำกับกรณี ZTE ในปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามในระยะยาว เราเชื่อว่าสหรัฐฯ จะใช้การขู่คว่ำบาตรบริษัทเทคโนโลยีของจีนเพื่องัดข้อกับจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบด้านลบต่อแนวโน้มของกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกในระยะกลาง

ผ่านไป 1 ปีแล้วกับความพยายามของสหรัฐฯ ในการสกัดกั้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี และในที่สุด สหรัฐฯ ก็ทำได้สำเร็จขั้นแรก ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน มูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบด้านลบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจจีนในแง่การส่งออกและการลงทุน

เมื่อรวมกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้าง เช่น หนี้สินสูง และภาวะฟองสบู่ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ เศรษฐกิจจีนจึงเผชิญกับความเสี่ยงที่จะดิ่งลงอย่างรุนแรงหรือ hard landing ทำให้รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินสูงถึง 6.3 ล้านล้านหยวน

ในมุมมองของรัฐบาลสหรัฐฯ การใช้ภาษีนำเข้าเป็นอาวุธคือการ “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” เพราะจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถกดดันจีนในแง่ของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา และการบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี อีกทั้งยังทำให้มีรายได้จากภาษีนำเข้าด้วย

ในเดือนพฤษภาคม จีนได้แก้เกมโดยปรับเปลี่ยนข้อตกลงบางประการที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่เป็นข้อพิพาทหลักๆ กับสหรัฐ เช่น การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ความลับทางการค้า การบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี นโยบายการแข่งขัน และการเข้าถึงบริการทางการเงิน

ทำให้สหรัฐฯ ตอบโต้ด้วยแผนการขั้นต่อไป ด้วยการเริ่มทำสงครามด้านเทคโนโลยี โดยเน้นไปที่การคว่ำบาตร หัวเว่ย ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่สุดของจีน และผู้ให้บริการ 5G ชั้นนำของโลก

เราเชื่อว่าหลังจากสงครามการค้าแปรเปลี่ยนมาเป็นสงครามด้านเทคโนโลยี ในขณะที่จีนก็เปลี่ยนกลยุทธ์โดยหันมาปลุกกระแสชาตินิยม ทำให้มีแนวโน้มสูงมากที่สหรัฐฯ จะคงเก็บอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ไว้ที่ 25% หลังจากผู้นำของทั้งสองประเทศพบกันนอกรอบการประชุม G-20 ที่จะมีขึ้นตอนปลายเดือนมิถุนายนนี้ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายมีจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างมาก

ในที่สุดแล้วทั้งสองฝ่ายจะยอมลดภาษีนำเข้าลง ในขณะที่สหรัฐฯ อาจจะระงับการคว่ำบาตรหัวเว่ยเป็นการชั่วคราวเหมือนกับที่เคยทำกับกรณี ZTE ในปีที่ผ่านมา กระนั้นก็ตาม เราเชื่อว่าสหรัฐฯ จะใช้การขู่คว่ำบาตร บริษัทเทคโนโลยีของจีนในเวลาใดก็ได้เพื่องัดข้อกับจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบด้านลบต่อแนวโน้มของกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกในระยะต่อไป

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

ธนาคารไทยพาณิชย์

Related Posts