รีวิว : Pony Car คันนี้ขับสนุก แรงดี มีเสน่ห์กว่าคูเป้เยอรมัน

รีวิว : Pony Car คันนี้ขับสนุก แรงดี มีเสน่ห์กว่าคูเป้เยอรมัน

Mustang เป็นรถสปอร์ตที่ดูเหมือนจะเข้าถึงได้ยาก จนเมื่อฟอร์ดประเทศไทยตัดสินใจนำรถรุ่นนี้เข้ามาทั้งคันสหรัฐอเมริกาบ้านเกิดและแต่งตั้งตัวแทนที่เชื่อถือได้ให้เป็นผู้จำหน่าย ความฝันของคนรักรถที่มีตำนานคันนี้จึงเป็นจริงกันสักที และที่สำคัญมีให้เลือกถึง 2 รุ่น 2 อารมณ์ คือเครื่องยนต์ 2.3 ลิตร EcoBoost และเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร ซึ่ง Thereporter.asia ก็ไม่พลาดที่จะทำการทดสอบฟอร์ด Mustang 2.3 EcoBoost กันในครั้งนี้

ในอเมริกา Mustang จัดเป็นรถประเภท Muscle car หรือรถที่มีเอกลักษณ์การออกแบบเป็นรถ 2 ประตูใช้เครื่องยนต์ V8 หรือจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Pony Car คือเป็นได้ทั้งรถสปอร์ตและรถ Compact ทั่วไป ที่มีความเอนกประสงค์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถสปอร์ต ซึ่งคันที่ Thereporter.asia ได้หยิบยืมมาลองขับนี้เป็นรุ่นเครื่องยนต์ 2.3 ลิตร 4 สูบ ให้กำลังสูงสุด 300 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที ดังนั้นรุ่นนี้จึงน่าจะเป็นนิยามของ Pony Car มากกว่า

 

Mustang

ส่วนอีกรุ่นเป็นเครื่องยนต์เบนซิน V8 สูบ DOHC Direct Injection Ti-VCT ขนาด 5.0 ลิตร 5,038 ซีซี. อัตราส่วนกำลังอัด 12.0 : 1 กำลังสูงสุด 460 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 556 นิวตันเมตร ที่ 4,600 รอบ/นาที รุ่นนี้ล่ะเป็น Muscle car แท้ๆ เลย แต่ไม่ได้นำมาทดสอบเพราะกลัวว่าถนนไม่ยาวให้พอให้ขับกันได้แบบสะใจ

Mustang สีแดงสดคันนี้ เป็นรถสปอร์ตที่มีความสะดุดตามาก เรียกได้ว่าถ้ามีคนเดินผ่านไปมาสัก 100 คน 95 คนจะต้องหันมามอง และใครจะคาดคิดว่ารูปร่างหน้าตาแบบนี้จะเป็นรถสปอร์ตที่ขับง่ายมาก จนไม่น่าแปลกใจว่าทำไมในอเมริการถยนต์รุ่นนี้ถึงได้รับความนิยม และมียอดขายสะสมทั่วโลกในรุ่นที่ 6 นี้แล้วถึง 500,000 คัน ซึ่งทางด้านการใช้งานในแบบฉบับของ Thereporter.asia ก็จะไม่เน้นการขับแบบบู้ระห่ำ แต่จะทำให้รู้ว่ารถสปอร์ตคันนี้ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ไหม ใช้ได้ทุกวันหรือเปล่า เพื่อให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงหรือหนุ่มนักศึกษาพ่อรวยได้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น

อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าจะบอกรูปร่างหน้าตาของรถเป็นอย่างไร แต่โดยส่วนตัวต้องบอกว่าชอบมาก มีความเป็นตัวของตัวเอง โฉบเฉี่ยวด้วยเส้นสายที่ทันสมัย ไม่ฉาบฉวย ไม่เติมแต่งอุปกรณ์เสริมจนดูรกเหมือนรถสปอร์ตบางรุ่น และแม้จะไม่ได้ดูหรูแบบรถคูเป้จากฝั่งพรีเมียมเยอรมัน แต่รับประกันว่าถ้าจอดเทียบกันตัวต่อตัวแล้ว Pony Car คันนี้กินขาด แม้ว่าหน้ารถจะยาวและกะระยะยากไปบ้าง แต่ใช้ไปนานๆ ก็ชินไปเอง

Mustang

เข้ามาสู่ภายใน Mustang คันนี้เข้าออกได้ไม่ยาก ไม่ต้องโหนตัวเข้ามา เบาะนั่งเบาะคู่หน้าเป็นแบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง แต่ปรับได้เฉพาะฐานรองนั่งไม่ได้ปรับตรงที่พิงหลังด้วย หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไม (นั่นสิทำไม) ซึ่งจริงๆ แล้วการปรับเบาะก็ไม่ได้ทำบ่อยๆ พอปรับครั้งแรกให้ตรงใจแล้วก็ไม่จำเป็นต้องปรับอีก เบาะตัวใหญ่โอบกระชับพอดีๆ แม้ไม่ได้ล็อกตัวเป๊ะเหมือนรถแข่ง แต่นุ่มแน่นกำลังดี และไม่ได้แข็งเหมือนรถจากฝั่งยุโรป ซึ่งจากนั่งทางไกลก็พบว่าให้ความสบายได้ดีมาก แม้จะขับด้วยระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร ก็ไม่เมื่อยล้ามากมายนักเมื่อเทียบกับการขับรถรุ่นอื่น (จะบอกว่าไม่เมื่อยเลยก็เป็นไปไม่ได้)

Mustang

ส่วนเบาะหลังนั้น สำหรับคนที่สูงเกินกว่า 150 คงไม่ต้องคิดไปนั่งแน่ๆ แม้รูปทรงของเบาะจะดูดึงดูดให้แทรกตัวเข้าไปนั่ง แต่หัวติดเพดานอย่างแน่นอน และการจะเข้าไปก็ไม่ได้ง่ายนัก เพราะต้องเลื่อนเบาะด้วยไฟฟ้าไปแบบช้าๆ ก่อนจะพับพนักพิงแล้วมุดเข้าไป แต่จริงๆ สำหรับรถประเภทนี้ก็ควรจะนั่งแค่ 2 คนเนอะ ทั้งนี้แม้จะนั่งยากแต่ก็พับแบบ 60/40 เพื่อเพิ่มพื้นที่วางของได้นะ

Mustang

ห้องโดยสารภาพรวมเป็นโทนสีดำ แต่ก็มีวัสดุพลาสติกสีเงินและโครเมียมช่วยเข้ามาสร้างความโดดเด่นให้แผงคอนโซลหน้าดูไม่จืดชืด นับว่าเป็นรถที่บรรยากาศภายในดีคันหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งในตอนกลางคืนจะมีไฟตกแต่งแบบ Ambient Light ปรับสีสันได้ สร้างความสุนทรีย์ให้กับยามค่ำคืนได้ไม่น้อย ติดนิดนึงตรงที่วางแก้วและขวดน้ำที่อยู่ข้างแขน หยิบยาก และบางครั้งแขนก็จะแอบไปโดนบ่อยเวลาขยับตัว ถ้ามีตำแหน่งที่วางดีกว่านี้ก็จะเพอร์เฟคไปเลย

Mustang

การตกแต่งภายในออกแบบได้ดึงดูดมาก มีลูกเล่นต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะสวิตช์แบบดันขึ้นดันลงที่คอนโซลกลางเป็นลูกเล่นของการออกแบบที่เก๋มาก แต่ด้วยปุ่มแบบนี้นี่เองที่ทำให้การเปิดไฟฉุกเฉินลำบากนิดหน่อย เพราะไม่ค่อยคุ้นชิน แถมยังอยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้ไม่ค่อยชัดเจน ส่วนการจัดวางสวิตช์ควบคุมอื่นๆ ก็จะเป็นรูปแบบเดียวกับรถยนต์ฟอร์ดที่วิ่งกันอยู่บนท้องถนน เว้นแต่ก้านไฟเลี้ยวที่อยู่ด้านเดียวกับรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่น ส่วนพวงมาลัยที่ออกแบบอย่างเป็นเอกลักษณ์และสะดุดตาก็จะมีสวิตช์ควบคุมฟังก์ชันหลายอย่าง แบบเดียวกับรถยุคใหม่ครบทุกการใช้งาน

Mustang

สำหรับความบันเทิงใน Mustang คันนี้มีหน้าจอขนาด 8 นิ้วระบบสัมผัส ใช้งานได้ง่าย รองรับ SYNC 3 และสามารถต่อ Bluetooth, Wi-Fi รองรับ Apple CarPlay/Android Auto แถมยังมีช่องเสียบ USB 2 ตำแหน่ง แต่ไม่มีระบบนำทางเหมือนในรุ่น 5.0 GT ทำให้หน้าจอดูเหมือนจะมีอะไรหายๆ ไปนิดนึง การเชื่อมต่อกับมือถือด้วย Bluetooth ทำได้ง่ายดายเหมือนรถฟอร์ดทั่วไป ไม่ต้องเข้ารหัสให้ยุ่งยากแค่กดตามที่ระบบบอกก็เสร็จสรรพ ส่วนระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ Dual-zone เย็นใครเย็นมันไม่ต้องทะเลาะกัน เช่นเดียวกับกระจกไฟฟ้าที่เป็นแบบสัมผัสเดียวขึ้นสุดลงสุด

Mustang

อีกลูกเล่นหนึ่งที่น่าสนใจคือหน้าปัดหลังพวกมาลัย ที่ไม่ได้เป็นเข็มแบบโบราณหรือย้อนยุคเกินไป แต่เป็นหน้าจอ TFT ขนาด 12.4 นิ้ว ที่สามารถปรับวิธีการแสดงค่าได้หลายแบบไม่ว่าจะเป็นแบบธรรมดาหรือจะเน้นแบบไหนก็ได้ตามใจสั่ง นอกจากนี้ยังจะเปลี่ยนไปตามโหมดการขับขี่ที่เราเลือกไว้อีกด้วย โดยมีโหมดการขับขี่ให้เลือกทั้งหมด 5 โหมด ประกอบด้วย Normal Mode เป็นโหมดขับขี่ทั่วไป (เป็นโหมดที่ Thereporter.asia เลือกใช้ตลอดทริปการเดินทาง) ส่วนโหมดอื่นๆ ก็จะมีอย่างเช่น Snow / Wet Mode โหมด Sport+ Mode, Track Mode, Drag Strip Mode

มาถึงสิ่งที่ทุกคนอยากรู้คือเรื่องสมรรถนะ Mustang 2.3 คันนี้วางเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC Direct Injection Ti-VCT ขนาด 2,264 ซีซี. พ่วงเทอร์โบชาร์จเดี่ยวแบบ Twin-scroll อัตราส่วนกำลังอัด 9.5 : 1 กำลังสูงสุด 300 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะมี Paddle shift มาให้ที่พวงมาลัยสำหรับเล่นโหมดบวกลบ

Mustang

“การออกตัวสำหรับรุ่นนี้แรงบิดดีตั้งแต่การออกตัว และความเร็วจะเริ่มเพิ่มตามแรงกดของเท้า เป็นพละกำลังที่สร้างความตื่นเต้นและกระตุ้นอะดีนาลีนให้หลั่งได้ไม่น้อย แม้จะไม่ปรู๊ดปร๊าดเหมือนรถซุปเปอร์คาร์ แต่พลังก็มาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่ว่าจะกดคันเร่งในจังหวะไหนก็ไม่ต้องรอรอบให้เสียเวลา เครื่องยนต์ EcoBoost พร้อมจะสร้างความพึงพอใจให้อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับจังหวะเร่งแซงในทุกรอบความเร็วก็ไม่มีอิดออด ไม่เสียจังหวะ ถือว่าเรี่ยวแรงระดับนี้ก็เกินพอแล้วสำหรับถนนเมืองไทย”

ท่อไอเสียแม้จะมีสุ้มเสียงแม้จะไม่กระหึ่มเร้าใจ หรือปรับได้แบบตัว 5.0 GT แต่ทุกครั้งที่กดคันเร่งก็จะมีเสียงพอทำให้หัวใจพองโตได้แบบเบาๆ ความเร็วที่เพิ่มขึ้นสร้างความสุนทรีย์ในการเดินทาง ทุกอย่างถูกเซ็ตมาได้แบบเรียบเนียนกลมกลืนไปกับผู้ขับได้เป็นอย่างดี มาพร้อมช่วงล่างที่หนึบแน่นแบบพอดี ไม่แข็งกระด้าง ด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบอิสระ Integral-link พร้อมเหล็กกันโคลง โดยยังได้ชุด Performance Pack Level 1 ซึ่งจะได้เฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิปมาด้วย

Mustang

ช่วงล่างที่สร้างความมั่นใจได้มากทั้งทางตรงและทางโค้ง พวงมาลัยตอบสนองได้อย่างเป็นธรรมชาติ หนักมือกำลังพอดี จนรู้สึกว่าเป็นรถที่ได้เร็ว แต่ขับได้แบบชิวๆ สบายๆ แม้แต่ตอนที่จะบู้ขับเร็วแล้วหักตัวรถแบบกระทันหันรถก็ไม่มีวอกแวก ขับได้แบบสนุกสนานไม่เครียด เช่นเดียวกับระบบเบรคที่เซ็ตมาได้อย่างน่าประทับใจ จะเบรคเบาเบรคหนักก็เอาอยู่ได้ทั้งหมด ทั้งยังมีระบบ ABS / EBD / BA ระบบควบคุมการทรงตัว Advancetrac : ESP ระบบป้องกันการลื่นไถล TRC จึงมั่นใจได้ว่าจะหนักหนาสักแค่ไหน รถคันนี้ก็ผ่านสบาย แต่มีข้อแม้ว่าคนขับก็ต้องมีสติแบบเต็มๆ ด้วยนะ

มาถึงเรื่องอัตราการกินน้ำมันเชื้อเพลิงกันบ้าง Mustang 2.3 EcoBoost คันนี้ เรียกได้ว่าเป็นรถสปอร์ตที่ประหยัดคันหนึ่งเลยทีเดียว แม้การทดสอบครั้งนี้จะไม่ได้วัดอัตราการสิ้นเปลืองกันแบบจริงจัง แต่การขับขี่เมื่อเทียบกับรถซีดานเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรขึ้นไปของทั้งญี่ปุ่นและเยอรมันที่มีแรงม้าและแรงบิดน้อยกว่านี้ เมื่อขับในความเร็วเท่ากัน บู้เหมือนกัน ในเส้นทางเดียวกัน Mustang คันนี้ประหยัดกว่าแบบไม่น่าเชื่อ โดยความเร็วสูงสุดที่ใช้ในครั้งนี้คือ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งทำในเส้นทางปิดและโล่ง (อาจจะไปได้มากกว่านี้แต่ถนนไม่เอื้ออำนวย)

 

เช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่ใส่มาให้ก็ต้องบอกเลยว่าทำให้รถหรูเยอรมันหลายรุ่นต้องมองค้อน เพราะใช่ว่าจะมีสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่ก็ใส่เทคโนโลยีมาให้แบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HLA, ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System, ระบบเบรกอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน AEB with Pedestrian Detection, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร Lane Keeping System, ระบบตรวจจับลมยาง TPMS, ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน Emergency Assistance

Mustang

ส่วนระบบพื้นๆที่ก็มีมาให้ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง, ม่านถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่ง, ถุงลมหัวเข่าคนขับ และ ผู้โดยสารตอนหน้า 2 ตำแหน่ง, กล้องมองภาพขณะถอยจอด, เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหลัง, ระบบสัญญาณกันขโมย Burglar Alarm, จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX

Mustang

 

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

ฟอร์ด ประเทศไทย

Related Posts