Resulticks จุดพลุโซลูชันดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งออมนิแชนเนล

Resulticks จุดพลุโซลูชันดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งออมนิแชนเนล

Resulticks เห็นโอกาสลงทุน ขยายฐานธุรกิจในไทย รับกระแสเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ส่งโซลูชันการตลาดออมนิแชนเนล (Omnichannel) อ้างงานวิจัย The Omnichannel Imperative ระบุ 88% ของแบรนด์ไทยเริ่มเชื่อมโยงฐานข้อมูลลูกค้าจากช่องทางต่างๆ เข้าด้วยกัน และนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการทำตลาด ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความต้องการ การปรับตัวผู้ประกอบการไทย

รีดิคกา สุบรามมาเนียน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รีซัลทิคส์ กล่าวว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยจึงเป็น 1 ในตลาดสำคัญในการขยายธุรกิจของรีซัลทิคส์ เราต้องการเป็นหุ้นส่วนสำคัญในแผนการเติบโตของบริษัทต่างๆ ในไทยที่มีความก้าวหน้าและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งนี้ในสถานการณ์ปัจจุบัน ธุรกิจไทยได้มีการใช้ช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพื่อช่วยส่งเสริมการตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้ธุรกิจต่างๆนั้นมีฐานข้อมูลของลูกค้าตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจลูกค้าของตนว่ามีพฤติกรรมการบริโภค การรับรู้ข่าวสาร หรือทัศนคติต่อแบรนด์อย่างไร โดยทาง Resulticks ได้ทำการสำรวจบริษัทกว่า 50 แห่งในประเทศไทย ซึ่งเป็นธุรกิจในกลุ่ม BFSI,กลุ่มค้าปลีก, อสังหาริมทรัพย์, เครื่องใช้ไฟฟ้า พบว่า 88% ได้มีการนำข้อมูลจากช่องทางต่างๆ ที่ตนมีอยู่มาใช้ประกอบการวางแผนการตลาด ซึ่งหมายถึงธุรกิจในไทยมีความพร้อมในการทำการตลาดแบบ Omni-channel มากพอสมควรแล้ว

วัตถุประสงค์ของ Resulticks ในฐานะผู้ให้บริการการทำการตลาดแบบ real time และครบวงจร หรือ Omni-channel คือ การช่วยยกระดับการทำการตลาดของธุรกิจไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเป้าหมายระยะสั้นของ Resulticks นี้คือการได้ร่วมงานผู้ประกอบการไทยไม่น้อยกว่า 10 เจ้าภายในครึ่งปีหน้า โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะได้ร่วมงานกับผู้ประกอบการไทยเพิ่มขึ้น 20 เจ้าในทุกๆปี เพราะเรามีจุดเด่นที่สามารถเข้าใจความต้องการของทั้งผู้ประกอบการ และผู้บริโภคไทยเป็นอย่างดี และมีแผนที่จะมาเปิดสาขาที่ประเทศไทยเร็วๆนี้ โดยวางกลุ่มเป้าหมายไว้คือ BFSI, Retail, ท่องเที่ยว การโรงแรม,เทเลคอมมูนิเคชั่น อสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ

ขณะเดียวกัน Resulticks ยังได้อ้างถึง รายงานผลการวิจัยเรื่อง The Omnichannel Imperative เป็นการสำรวจทางออนไลน์เกี่ยวกับระดับความพร้อมด้านการตลาดออมนิแชนเนลของภาคธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2562 จากกลุ่มตัวอย่าง 345 บริษัทใน 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม พบว่า 74% ของธุรกิจในไทยที่ตอบแบบสอบถาม มีแผนที่จะเพิ่มงบการลงทุนในเทคโนโลยีการตลาด ออมนิแชนเนลในปีนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจและเข้าถึงลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

Resulticks
วิวัฒน์ มาสุจันท์ ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย ประจำประเทศไทย

นอกจากนี้รายงานดังกล่าวยังพบว่า ทิศทางการทำตลาดของผู้ประกอบการในไทยเริ่มเปลี่ยนไป โดย 88% ของแบรนด์ไทยเริ่มหันมาสร้างฐานข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของลูกค้า เพื่อมุ่งสู่การทำตลาดแบบออมมิแนลเนล ซึ่งเป็นแนวโน้มที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เมื่อเทียบกับเวียดนามที่ 87% สิงคโปร์และฟิลิปปินส์ที่ 72% และ 70% ตามลำดับ

และในส่วนของผู้ตอบแบบสอบถามไทย ในส่วนคำถาม อะไรคือความท้าทายหลักที่ทำให้คุณไม่สามารถทำการตลาดแบบติดต่อสื่อสารกับลูกค้าทุกช่องทางได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพในช่องทางต่าง ๆ ระบุว่า ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีหรือซอฟท์แวร์ 45% มีข้อมูลที่ต้องจัดการมากเกินไป 40% มีข้อมูลลูกค้าที่ไม่สมบูรณ์ในทุกช่องทาง 40% การบูรณาการข้อมูลจากทุกระบบเข้าด้วยกันทำได้ไม่ดี / ใช้กระบวนการที่ทำด้วยตนเอง 38%

ความไม่สามารถที่จะแบ่งส่วนข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 36% การขาดกลยุทธ์การตลาดแบบติดต่อสื่อสารหลายช่องทาง 33% แพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่แยกกัน 33% การขาดอนุมัติจากฝ่ายบริหาร / ไม่ใช่สิ่งสำคัญเร่งด่วนของธุรกิจ 33% ความไม่สามารถที่จะดาเนินการกับข้อมูลได้ในแบบเรียลไทม์ 31% การขาดข้อมูลการวิเคราะห์และ/หรือข้อมูลเชิงลึก 26% โครงสร้างองค์กรที่พนักงานไม่ต้องการแบ่งปันข้อมูล 19%

มานิ โกปาลารัตนัม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท รีซัลทิคส์ ระบุว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญในเอเชียที่มีแนวโน้มจะมุ่งไปสู่การทำตลาดแบบออมนิแชนเนลอย่างเต็มตัว เราจึงรู้สึกตื่นเต้นและพร้อมที่จะนำความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่มีอยู่ มาช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับแบรนด์ในประเทศ ที่เป็นทั้งแบบ B2B และ B2C ในการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างไร้รอยต่อดียิ่งกว่าที่เคยเป็นมา”

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเจาะตลาดไทย รีซัลทิคส์ได้แต่งตั้ง วิวัฒน์ มาสุจันท์ ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย ประจำประเทศไทย ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานมากกว่า 14 ปี ในแวดวงธุรกิจโซลูชันสำหรับองค์กรและไอที โดยเคยร่วมงานกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกมาแล้วมากมาย เช่น เช่น IBM, Oracle และ SAP

วิวิฒน์ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันผู้บริโภคในไทยคุ้นเคยกับข้อความการตลาดที่ส่งมาจากแบรนด์ต่างๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากผู้บริโภคเหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์หรือบริการต่างๆ ผ่านอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ นี่จึงเป็นเหตุผลที่อธิบายว่า เหตุใดแบรนด์ในไทยมากถึง 71% ถึงให้ความสำคัญอย่างมากกับการตลาดแบบเรียลไทม์ในปีนี้ รีซัลทิคส์จึงต้องการนำเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีอยู่มาช่วยให้แบรนด์ในไทย สามารถยกระดับกลยุทธ์การตลาดไปอีกขั้น และช่วยให้พวกเขาสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าได้ดีและมีความหมายยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ รีซัลทิคส์ยังได้แต่งตั้งบริษัท มอนติโวรี่ จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและบริการข้อมูลเป็นหนึ่งในพันธมิตรสำคัญ โดยอาศัยความรู้ความเข้าใจด้านแนวโน้มเทคโนโลยีดิจิทัลในประเทศไทย และประสบการณ์ทำงานร่วมกับแบรนด์ชั้นนำมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างการเติบโตในตลาดไทย นอกจากนี้ยังได้มีการเจรจากับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเอเยนซี่ด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ผู้บริการโซลูชั่น เพื่อเป็นพันธมิตรและคู่ค้าต่อการให้บริการโซลูชั่น ซึ่งได้มีการเจรจาเบื้องต้น 16 ราย ก่อนจะมีการบันทึกข้อตกลงการค้า ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 ให้บรรลุตามแผนสนับสนุนการขายและการตลาด ที่ดำเนินธุรกิจในตลาดไทย และขยายในตลาดในแถบอินโดไชน่า

ทั้งนี้ ด้วยประสิทธิภาพโซลูชันการตลาดออมนิแชนเนลของรีซัลทิคส์ แบรนด์ต่างๆ จะสามารถทำแคมเปญการตลาดประสานเข้ากันได้ในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย อีเมล อีคอมเมิร์ซ โมบายล์แอป เอสเอ็มเอส หรือช่องทางดิจิทัลอื่นๆ นอกจากนั้น รีซัลทิคส์ยังจะช่วยให้การดำเนินงานแคมเปญเป็นไปอย่างครอบคลุมในทุกมิติการเข้าถึง การเลือกรับข้อมูล โดยเชื่อมโยงกับช่องทางออฟไลน์ด้วยเทคโนโลยี เช่น คิวอาร์โค้ด และเทคโนโลยีส่งข้อมูลระยะใกล้ (location beacon) ร่วมกับการนำฐานข้อมูลลูกค้ามาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ รีซัลทิคส์ยังจะนำความสามารถในการบริหารจัดการฐานข้อมูลลูกค้ามาใช้ร่วมกับ AI และเทคโนโลยี machine learning ที่ระบบได้ออกแบบเป็นแพลตฟอร์มในด้าน Cloud based marketing automation หรือ mCloud ด้วย AI core เพื่อช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถมอบประสบการณ์แก่ลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ ได้อย่างราบรื่น ในทุกแพลตฟอร์ม และมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าแต่ละคนโดยเฉพาะได้แบบเรียลไทม์ ตั้งแต่การรับรู้ในครั้งแรก ไปสู่การเปลี่ยนแปลงเป็นลูกค้าไปจนถึงการยอมรับ

ผ่านการสื่อสารที่วิเคราะห์ ข้อมูล ให้สอดรับกับพฤติกรรม ประสบการณ์ และสถานการณ์ ดังนั้นโซลูชั่นนี้จึงออกแบบมาให้สนับสนุน และเป็นตัวช่วยในเชิงองค์กร เชิงวัฒนธรรม และทางเทคนิค เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานให้กับลูกค้าในแบบที่ต่อเนื่องและสอดคล้องกับความต้องการไปในเวลาเดียวกันอันเป็นผลจากผลการรวบรวม วิเคราะห์ และสกัดข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำมาใช้ได้ในทางปฏิบัติ ซึ่งส่วนเหล่านี้เป็นเหมือนตัวเชื่อมโยงกิจกรรมความผูกพันที่ลูกค้ามีกับองค์กรผ่านการติดต่อสื่อสารทุกช่องทางเข้าไว้ด้วยกัน

Ads

Related Posts