
ทีโอเอ-ชูโกกุ เพ้นท์ เดินหน้าขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน เริ่มด้วยการลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท เพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงงานผลิตสี และคลังจัดเก็บสินค้าในพื้นที่ขนาด 12 ไร่ในเมียนมาร์ ก่อนขยายสู่กัมพูชา ลาวและบังคลาเทศ ส่วนตลาดเมืองไทยเตรียมรุกโชว์รูมรถยนต์และโรงงานที่ต้องการสร้างความสะอาดพื้นด้วยการทาสี และเพิ่มสัดส่วนการขายผ่านมาร้านค้ามากขึ้นจากเดิมที่เน้นการขายตรง พร้อมตั้งเป้าเติบโต 15% หรือมีรายได้รวมในปีนี้ 2,300 ล้านบาท
บริษัท ทีโอเอ-ชูโกกุ เพ้นท์ จำกัด เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2532 เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท ชูโกกุ มารีน เพ้นท์ จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น ดำเนินธุรกิจในการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใน 3 กลุ่มหลักตามลักษณะการใช้งานของอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์สีอุตสาหกรรมหนัก (Heavy Duty Coating Products) กลุ่มผลิตภัณฑ์สีทาเรือ (Marine Paint Products) และกลุ่มผลิตภัณฑ์สีทาตู้คอนเทนเนอร์ (Container Paint Products)
นายพิศิษฐ์ บุญจรรยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีโอเอ-ชูโกกุ เพ้นท์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทวางกลยุทธ์ธุรกิจด้วยการมุ่งขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน เริ่มจากประเทศเมียนมาร์ด้วยการลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท เพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงงานผลิตสีและคลังจัดเก็บสินค้าในพื้นที่ขนาด 12 ไร่ ที่นิคมอุตสาหกรรมติลาวา (Thilawa Industrial Estate) ภายใต้ชื่อ บริษัท ชูโกกุ –ทีโอเอ เพ้นท์ (เมียนมาร์) จำกัด หรือ (CHUGOKU-TOA PAINTS (MYANMAR), LTD) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท ทีโอเอ-ชูโกกุ เพ้นท์ จำกัด ประเทศไทย กับบริษัท ชูโกกุ มารีน เพ้นท์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น
โดยโครงการก่อสร้างเฟส A นี้อยู่ใกล้เมืองย่างกุ้ง คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายนปี 2563 คาดว่าหลังจากเริ่มการผลิตและจำหน่ายในประเทศเมียนมาร์ภายในช่วง 5 ปีแรก จะสามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท เนื่องจากเมียนมาร์ประกอบธุรกิจการประมงเป็นเศรษฐกิจหลักอันดับ 3 ของประเทศ สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์สีทาเรือคุณภาพสูงของชูโกกุที่มีประสบการณ์ด้านนี้มากว่า 100 ปี และทำการจำหน่ายสีทาโครงเหล็กที่มีความทนทานสูงให้กับโครงการใหญ่ๆ อีกหลายโครงการในประเทศเมียนมาร์
“หลังจากโรงงานเสร็จคาดว่าจะเริ่มผลิตเดือนกรกฎาคม 300 ตันต่อเดือน และภายใน 5 ปีจะขยายเป็น 500 ตันต่อเดือน ทั้งนี้พม่าเป็นประเทศเปิดใหม่ มีการเติบโต 6-7% รวมทั้งยังมีการขยายโรงไฟฟ้า เชิญชวนนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น ลงทุนอุตสาหกรรมขนาดกลาง รวมถึงมีการลงทุนแท่นขุดเจาะน้ำมัน จึงมีการเติบโตที่ดี ประกอบกับปีหน้ามีการเลือกตั้งน่าจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีก โดยหลังจากการลงทุนในพม่าแล้วบริษัทฯ ยังมองกัมพูชาและลาว ที่ปัจจุบันได้ทำตลาดไปแล้ว เรามองจุดคุ้มทุนในการตั้งโรงงาน ต้องระดับ 100 ล้านถึงจะไปตั้งได้ แต่ขณะนี้ 2 ประเทศนี้มียอดประมาณ 50 ล้านบาท รวมถึงบังคลาเทศซึ่งเป็นประเทศที่ติดพม่า ก็เริ่มมีการลงทุนแล้วเช่นกัน”
นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับตลาดในเมืองไทยซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ เป็นผู้นำอันดับหนึ่งครองส่วนแบ่งการตลาดสีกลุ่มสีอุตสาหกรรมหนักและสีทาเรือสูงสุดในประเทศไทยถึงกว่า 50% โดยในปีหน้าจะเพิ่มจำนวนร้านค้ามากขึ้น เน้นขยายไปต่างจังหวัด เจาะกลุ่มโรงงานและโชว์รูมรถยนต์ที่ต้องการสีทาพื้น เพื่อสร้างความสะอาดให้กับโรงงาน ปัจจุบันสัดส่วนการขายจะแบ่งเป็นขายตรง 75% ผ่านร้านค้า 25% โดยตลาดส่วนใหญ่อยู่ทางภาคใต้ รวมถึงระยอง เนื่องจากติดทะเลและมีเรือขนส่งเป็นจำนวนมาก ส่วนปีหน้าตั้งเป้าสัดส่วนเป็น 70/30 และอีก 3 ปีข้างหน้าจะปรับเป็น 60 /40 สำหรับปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 2,300 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15%
สำหรับผลประกอบการใน 6 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ คิดเป็นมูลค่า 1,300 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนของการจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์สีอุตสาหกรรมหนักมูลค่า 910 ล้านบาท หรือคิดเป็น 70% และกลุ่มผลิตภัณฑ์สีทาเรือ สีทาตู้คอนเทนเนอร์อีกมูลค่า 390 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30% หรือเมื่อเทียบสัดส่วนรายได้ 6 เดือนจากปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทฯ เติบโตขึ้นประมาณ 20% หรือคิดเป็นมูลค่าการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 200 ล้านบาท
ขณะที่ผลประกอบการในปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์คิดเป็นมูลค่า 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนของการจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์สีอุตสาหกรรมหนัก มูลค่าสูงถึง 1,400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 70% และกลุ่มผลิตภัณฑ์สีทาเรือ สีทาตู้คอนเทนเนอร์อีกมูลค่า 600 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30%
“ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าและเน้นการพัฒนาเพิ่มเติมในผลิตภัณฑ์และองค์กรเพื่อให้กลมกลืนกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อาทิ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Green Product โดยเน้นผลิตภัณฑ์ที่ Low VOCs และพัฒนานวัตกรรม BIO CLEAN (สีกันเพรียง) เนื้อสีเป็นซิลิโคน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีสารพิษ สามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากกว่าสีกันเพรียงปกติ ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้านนี้ด้วยจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์บวกกับความเชี่ยวชาญพิเศษของบริษัทฯ จะทำให้เกิดนวัตกรรมและการพัฒนาใหม่ๆ ที่เป็นมิตรและปกป้องสิ่งแวดล้อมที่ดีได้ตลอดไป”
สำหรับโครงการที่ทีโอเอ-ชูโกกุ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ อาทิ สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 1 และ2, กลุ่มบริษัทปตท., กลุ่มโรงงานผู้ผลิตไฟฟ้า, รถไฟฟ้ามหานครทุกสาย (MRT), รถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS), สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา, สะพานพระราม 8, สะพานพระราม 9, สะพานภูมิพล 1 และ 2, กลุ่มบริษัทเอสซีจี โรงงานอุสากรรมต่างๆ รวมทั้งเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ และเรือประมงทั่วไป