กลุ่มเซ็นทรัลพร้อมดันค้าปลีกขึ้นโลกดิจิทัลแบบครบวงจรเต็มรู ปแบบด้วยการจับมือ JD .com ยักษ์ใหญ่ค้าปลีก-อีคอมเมิร์ ซจากประเทศจีน ผุด JD.co.th หลังร่วมทุนกันด้วยวงเงิน 17,500 ล้านบาท หวังสร้างประสบการณ์ช้อปปิ งแบบไร้รอยต่อให้กับลูกค้า มั่นใจงานนี้ไม่ซ้ำรอยอีคอมเมิ ร์ซค่ายอื่น และจะสามารถเติบโตและทำกำไรได้ เร็วกว่า เพราะมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว พร้อมเปิดให้บริการ JD Central ช่วงสงกรานต์ปีหน้า
กลยุทธ์หนึ่งของการตลาดแบบอี คอมเมิร์ซคือการหว่านเงินเพื่ อลดแลกแจกแถม เพื่อให้ได้มาซึ่งจำนวนสมาชิกที่ เพิ่มขึ้น เกิดการขยายตัวและสามารถสร้ างรายได้ แต่ต้องไม่ใช่อีคอมเมิร์ซหน้ าใหม่อย่าง JD.co.th เพราะสำหรับรายนี้ไม่ได้เน้ นการสร้างยอดลูกค้าที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ทางด้ านการซื้อขายออนไลน์ที่ดีขึ้ นให้กับลูกค้า และยังจะต่อยอดคร่อมธุรกิ จไปมาระหว่างพันธมิตรได้แทบจะทั่ วโลก
“การร่วมทุนครั้งนี้จะมีกำไรเร็วกว่าเพราะเราไม่ต้องหาลูกค้า ไม่ต้องใช้เงินเพื่อดึงให้ลูกค้ าเข้ามาในระบบ แต่เรามีอยู่แล้ว 14 ล้านคน ซึ่งเมื่อแพลตฟอร์มเสร็จลูกค้ าที่มีอยู่จะเข้ามาใช้ได้อย่ างง่ายดาย ดังนั้นธุรกิจนี้จึงถือเป็ นการรักษาฐานลูกค้า สร้างรอยัลตี้เป็นสำคัญ รวมไปถึงเป็นการสร้าง ดิจิตอล อีโคซิสเต็มครบวงจรครั้งแรก ควบคู่ไปกับการพัฒนาธุรกิ จในเครือกลุ่มเซ็นทรัลให้เชื่ อมโยงช่องทางการตลาดต่างๆ รวมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”
ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวถึงก้าวใหม่ของธุรกิจค้ าปลีกที่จะเน้นยุทธศาสตร์การเป็ น Digital Centrality หลังจากได้ทำการผนึกกำลังร่วมทุ น 17,500 ล้านบาท กับบริษัท JD.com ผู้นำเทคโนโลยี ด้านอีคอมเมิร์ซ, โลจิสติกส์, ฟินเทค รวมถึงการใช้บิ๊กดาต้าและ AI เพื่อสร้างอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์ มใหม่ในชื่อ JD.co.th ภายใต้เทรดมาร์ก เจดี เซ็นทรัล (JD Central)
ความร่วมมือครั้งนี้ยังจะช่ วยให้ลูกค้าของ JD.com ที่ปัจจุบันมีลูกค้าอยู่กว่า 250 ล้านคน และลูกค้าของกลุ่มเซ็นทรัลที่ นอกเหนือจากตลาดในเมืองไทย อย่างในเวียดนามและและทวีปยุโรป สามารถทำการซื้อขายข้ามกั นไปมาผ่านแพลตฟอร์มนี้ได้ ในอนาคต
ซึ่งนอกจากจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุค 4.0 แล้ว ยังจะทำให้กลุ่มเซ็นทรั ลสามารถเติบโตก้าวกระโดด และมียอดขายในธุรกิจออนไลน์ ของทั้งกลุ่มมากกว่า 15% ภายใน 5 ปี และหวังให้แพลตฟอร์มนี้ดันให้ ไทยเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวั นออกเฉียงใต้ทางด้านออนไลน์ ชอปปิง
ญนน์ โภคทรัพย์ President of Central Group กล่าวว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยบีทูซี ยังเล็กมากเพราะยังโตได้อี กมหาศาล การผนึกกำลังครั้งนี้เราไม่ได้ เริ่มจากศูนย์ เพราะเรามีลูกค้าและพาร์ตเนอร์ อยู่แล้ว แต่เราต้องการสร้างประสบการณ์ที่ ดีและแตกต่างให้กับลูกค้า อย่างเช่นสินค้าจากจีนที่ดี และมีคุณภาพ รวมไปถึงจะได้ดิวที่ดีที่สุด โดยสินค้าทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้ าเว็บ JD.co.th ก็จะปรากฎบนหน้าเว็บ JD.com ในประเทศจีนด้วย
“ปัจจุบันเจดีมีการซื้อสินค้าจากไทยโดยตรงไม่ผ่านพันธมิ ตรใดๆ ปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งจากแพลตฟอร์มที่ลงทุนร่วมกั นนี้จะทำให้ภายใน 2 ปีข้างหน้านี้จะเพิ่มเป็น 100,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังจะทำให้ผู้ ประกอบการอีคอมเมิร์ซในไทยที่นิ ยมไปซื้อของจากจีนมาขาย จะสามารถเลือกสินค้าได้ดีกว่าผ่ านเจดี เพราะเจดีเป็นผู้ซื้ อตรงจากประเทศจีน ทำให้ควบคุมคุณภาพได้ ทำให้คนไทยสามารถซื้อสินค้าจี นได้ในเกรดคุณภาพที่ดีขึ้นกว่ าเดิม”
การร่วมมือกันในครั้งนี้ ไม่เพียงสร้างประสบการณ์ชอปปิ้ งไร้รอยต่อให้กับลูกค้า สามารถรวมทุกธุรกิจของกลุ่มเซ็ นทรัลให้มาอยู่ในจุดเดียว รวบรวมหลากหลายร้านค้า แฟลกชิพสโตร์ของกลุ่มเซ็นทรัล และสินค้าคุณภาพนานาชนิด ทั้งของไทย และต่างชาติ
สินค้า SME บนเว็บไซต์ที่ใช้ง่ายและมีทุกสิ่ งให้เลือก โดยจะนำเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ จะทำให้การขนส่งรวดเร็วแม่นยำยิ่ งขึ้น เช่น การใช้โดรน, ออโต้คาร์ ฯลฯ พร้อมระบบการจัดการห่วงโซ่อุ ปสงค์ และอุปทาน และคลังสินค้าที่ทันสมัยเพื่ อสร้างความแตกต่างจากการขนส่งสิ นค้าแบบเดิมๆ
รวมไปถึงการมีส่วนช่วยพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวั นออก (EEC) ด้วยการจัดตั้งสำนักงานใหญ่เพื่ อเป็นศูนย์กลางด้านดิจิตอลแห่ งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้จะมีการนำเทคโนโลยีต่ างๆ เข้ามาเสริมการพัฒนาธุรกิจทุกขั้ นตอน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบวิ เคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่, เทคโนโลยีคลาวนด์, AI, แชตบอต เพื่อใช้ในการปรับปรุงเว็บไซต์ อีคอมเมิร์ซ และบริการฟินเทคให้ตอบโจทย์ลู กค้า รวมถึงการใช้เทคโนโลยีออโตเมต ในการจัดการคลังสินค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิ สติกส์ และการขนส่งสินค้าถึงมือผู้บริ โภค
และด้วยการเป็นดิจิตอล อีโคซิสเต็มรูปแบบใหม่นี้จะยั
ด้านริชาร์ด หลิว ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท JD.com กล่าวว่า JD.com เป็นอีคอมเมิร์ซอันดับสามของโลก ซึ่งการได้ร่วมงานกับกลุ่มเซ็นทรัลที่ถือเป็นผู้นำธุรกิจค้ าปลีกครบวงจรของประเทศไทย จะทำให้เราเข้าใจลูกค้า และสามารถวางกลยุทธ์เพื่ อตอบโจทย์ตลาดไทยได้ดีขึ้น
ซึ่งจะเป็นการเสริมศักยภาพให้ เจดีเพิ่มขึ้น สำหรับภาพรวมนั้นประเทศไทยมี ประชากรจำนวนมาก ประกอบกับมีโครงสร้างพื้นฐานที่ ทันสมัย และการให้บริการทางอินเทอร์เน็ ตที่ครอบคลุมทั่วถึง ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาบริการด้ านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทคเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นสิ่งที่จะได้เห็นนั บจากนี้จะมีการพัฒนาพัฒนาบริ การฟินเทค อำนวยความสะดวกด้านไฟแนนซ์ให้กั บลูกค้า และซัพพลายเออร์ มุ่งสร้างกระเป๋าเงินอิเล็ กทรอนิกส์ (E-wallet) และบริการทางการเงินออนไลน์อื่ นๆ ที่ใช้งานง่าย เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ Cashless society ในอนาคต