ฟอร์ดเผยโฉมกระบะรุ่นใหญ่ ทรง F-150 พร้อมกัน 2 รุ่นใหม่ ฟอร์ด เรนเจอร์ รถกระบะขนาดกลางโฉมใหม่ และฟอร์ด บรอนโค รถเอสยูวีขนาดกลางรุ่นใหม่ อวดเทคโนโลยีป้องกันการชนพร้อมสัญญาณตรวจจับคนเดินถนน และระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างพร้อมหยุดและออกตัวแบบอัตโนมัติ ติดตั้งโมเด็ม 4G LTE ระบบซิงค์ 3 และระบบเสียง B&O PLAY รุกขยายบริการขนส่งสาธารณะผ่านแอปพลิเคชั่น Chariot ที่เริ่มจากในซานฟรานซิสโกและออสติน เท็กซัส โดยจะขยายการบริการให้ครอบคลุมอีก 8 เมืองในปีนี้ และมีเมืองระดับโลกอย่างน้อย 1 แห่ง พร้อมโชว์วิสันทัศน์เมืองแห่งอนาคต วาดฝันการสัญจรที่ปลอดภัยภายใต้การจัดการด้วยเทคโนโลยีแบบสมบูรณ์
นายมาร์ค ฟีลด์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี เปิดเผยว่า ปีนี้ แผนการขยายการดำเนินธุรกิจของฟอร์ดเพื่อเป็นบริษัทยานยนต์และการสัญจรได้ก้าวไปข้างหน้าอีกขั้น ด้วยการเปิดตัวรถยนต์และเทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้นเพื่อช่วยพัฒนาชีวิตของผู้คนหลายล้านคนในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ เรายังนำเสนอวิสัยทัศน์และร่วมมือกับเมืองอีกหลายแห่งเพื่อให้ผู้คนสามารถสัญจรได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคตอีกด้วย
ทั้งนี้ฟอร์ดมีการลงทุนกว่า 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐและคาดว่าจะสามารถเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ 13 รุ่นได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งรวมถึงฟอร์ด F-150 ไฮบริด และฟอร์ด มัสแตง ไฮบริด รถตำรวจแบบไฮบริดสำหรับขับไล่ล่า 2 รุ่น รถตู้ทรานซิท คัสตอม ปลั๊กอิน ไฮบริด ซึ่งเป็นรถเอสยูวีไฟฟ้าเต็มรูปแบบที่สามารถวิ่งได้อย่างน้อย 300 ไมล์ และรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบที่ได้มาตรฐานระดับ 4 ของสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ของสหรัฐอเมริกา ที่ไม่มีทั้งพวงมาลัย คันเร่ง และเบรค สำหรับการพาณิชย์ในปีพ.ศ. 2564 เพื่อการบริการรถเรียกสาธารณะ หรือบริการใช้รถยนต์ร่วมกัน การเปิดตัวรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบฟิวชั่นไฮบริดเจนเนอเรชั่นใหม่ เป็นแผนการขั้นต่อไปของฟอร์ดในการพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบให้สำเร็จภายในปีพ.ศ. 2564
อีกทั้งยังมีการจัดตั้งทีม City Solutions เพื่อทำงานร่วมกับเมืองหลักต่างๆ ทั่วโลก เพื่อช่วยแก้ปัญหาการสัญจรที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งปัญหาการจราจรที่ติดขัดและมลภาวะทางอากาศ ช่วยให้ผู้คนสัญจรได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้นทั้งในวันนี้และในอนาคต โดยทีม City Solutions ของฟอร์ด ซึ่งเป็นทีมเพียงหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมยานยนต์ กำลังทำงานร่วมกับเมืองต่างๆ ทั่วโลก เพื่อนำเสนอ ทดลอง และพัฒนาโซลูชั่นด้านการสัญจร นอกจากนี้ทีมยังได้เริ่มต้น และร่วมมือกับมูลนิธิ Bloomberg Philanthropies และเครือข่ายนายกเทศมนตรีทั่วโลกของมูลนิธิในเรื่องดังกล่าวอีกด้วย
ด้านนายบิล ฟอร์ด ประธานบริหารฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี กล่าวว่า นี่คือปัญหาที่ซับซ้อนมากกว่าเพียงการจราจรที่ติดขัดเท่านั้น แต่ถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ที่ดีและการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขต่างๆ ทั้งน้ำดื่มที่สะอาด อาหาร ที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย และแม้กระทั่งความสามารถในการหางาน ความสามารถในการแก้ไขความท้าทายด้านการสัญจรต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เรามีโอกาสที่จะสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป นี่เป็นทั้งโอกาสที่น่าตื่นเต้นและความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ของเรา
ฟอร์ดเสนอวิสัยทัศน์ เมืองแห่งอนาคต
ฟอร์ดได้นำเสนอวิสัยทัศน์สำหรับ “เมืองแห่งอนาคต” ซึ่งให้ความสำคัญกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาการสัญจรในระยะสั้น (ซึ่งรวมถึงรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติและรถยนต์ไฟฟ้า การใช้รถยนต์ร่วมกัน การเรียกรถสาธารณะ และรถยนต์ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ) กับระบบโครงสร้างพื้นฐานในเมือง เพื่อสร้างระบบนิเวศในการเดินทาง ยกตัวอย่างเช่น เหมือนฟอร์ดกำลังจินตนาการถึงโลกที่ถนนสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้สัญจรและสัมพันธ์กับความคล่องตัวของการจราจร หรือการใช้จักรยานและโดรนแก้ปัญหาการสัญจรช่วงสุดท้ายสำหรับทั้งคนและสินค้าต่างๆ
ในอีก 5 ปีนับจากนี้ ฟอร์ดคาดว่า รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจะเริ่มใช้งานในเมืองต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งจะรวมถึงรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติคันแรกของฟอร์ดที่จะเปิดตัวในปี พ.ศ. 2564 ด้วยเช่นกัน ขณะเดียวกันก็คาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถผลิตรถยนต์ได้จำนวนมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันในระยะเวลาอีก 15 ปีนับจากนี้
ขณะที่การเดินทางร่วมกันจะได้รับความนิยมมากขึ้น เช่น การใช้รถร่วมกันผ่านแอพพลิเคชัน Chariot ของฟอร์ด ที่กำลังจะขยายตัวครอบคลุมทั่วโลก แม้ว่าในปัจจุบันจะมีให้บริการเฉพาะในซานฟรานซิสโก และเมืองออสติน รัฐเท็กซัส แต่อนาคตจะขยายบริการไปยังตลาดอีก 8 แห่งในปีนี้ โดยในจำนวนนี้จะมีเมืองในประเทศอื่นนอกจากสหรัฐอเมริกาอย่างน้อย 1 แห่ง
นอกจากนี้ตามวิสัยทัศน์ของฟอร์ดสำหรับอนาคตอันใกล้นั้น การสื่อสารที่เชื่อมต่อระหว่างรถยนต์และโครงสร้างพื้นฐานจะเติบโตควบคู่กันไป โดยรถยนต์จะสามารถเชื่อมต่อกับรถยนต์คันอื่นและระบบขนส่งของเมืองต่างๆ ได้ และฟอร์ดจะติดตั้งโมเด็มในรถยนต์ของฟอร์ด 20 ล้านคันทั่วโลกใน 5 ปีข้างหน้า ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานภายในตัวเมืองเองก็จะเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบรับนวัตกรรมที่จะส่งผลในวงกว้าง เช่น การชาร์จไฟแบบไร้สาย และการเชื่อมต่อที่ก้าวล้ำมากยิ่งขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะมอบระบบปฏิบัติการรูปแบบใหม่แก่ผู้ดูแลการสัญจรของเมือง โดยจะเปิดโอกาสให้พวกเขาบริหารจัดการแง่มุมต่างๆ ของระบบการเดินทางในเมืองได้จากศูนย์กลาง รวมถึงความคล่องตัวของการจราจรและการปล่อยมลพิษของรถยนต์
และสำหรับแผนอนาคตระยะยาว ฟอร์ดมองเห็นภาพเมืองแห่งอนาคตที่เต็มไปด้วยรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้พลังงานไฟฟ้า การขนส่งมวลชนจะพัฒนาขึ้นในเมืองใหญ่ต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ระบบขนส่งความเร็วสูง โดยนวัตกรรมอื่นๆ รวมถึง เทคโนโลยีการบินแบบโดรนจะมีบทบาทมากขึ้น เช่น การสำรวจและทำแผนที่ ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากแผ่นดินไหว สึนามิ หรือภัยพิบัติอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ระบบขนส่งที่ล้ำหน้า จะผสานข้อมูลจากทุกแง่มุมของระบบนิเวศการสัญจรได้อย่างครอบคลุมและราบรื่นยิ่งขึ้น โดยระบบนิเวศนี้ รวมไปถึงรถยนต์ จักรยาน โดรน และระบบขนส่งมวลชน สัญญาณไฟจราจร มิเตอร์ที่จอดรถ และโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงการติดตั้งเทคโนโลยีขั้นสูงขนาดใหญ่เพื่อจัดการการจราจรให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำงานร่วมกับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ในการขจัดปัญหาการจราจรติดขัด ลดการปล่อยมลพิษ และลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุลงจนเกือบศูนย์ พร้อมกับการเปลี่ยนถนนให้เป็นพื้นที่สีเขียวและสวนสาธารณะ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและช่วยให้ชุมชนมีสุขภาพที่แข็งแรงยิ่งขึ้น
“กว่า 100 ปีที่ผ่านมา ฟอร์ดได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและเป็นยานยนต์ที่น่าเชื่อถือ และในวันนี้ เราต้องการทำงานร่วมกับชุมชน เพื่อมอบทางเลือกและโซลูชั่นในการสัญจรที่หลากหลายยิ่งขึ้นให้แก่ทุกคน สำหรับอนาคตอันยาวไกลที่จะมาถึง” นายฟีลด์ส กล่าว