วันนี้ทีมงาน TheReporter.asia ได้มีโอกาสร่วมงานเปิดตัวเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชั่นเซ็นเตอร์ ขนาด A3 ของค่ายบราเดอร์ เลยขอล้วงลึกไปถึงปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องพิมพ์ขนาด A3 แบบมัลติฟังก์ชั่นในรุ่น MFC-J2330DW ซึ่งมีราคาเพียง 7,990 บาท ที่นำเสนอความคุ้มค่าเป็นหลักสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก มาฝากคุณผู้อ่านทุกท่านกันนะครับ
ด้วยรูปแบบการทำธุรกิจของเอสเอ็มอีขนาดเล็กและขนาดกลาง บางแห่งต้องการพิมพ์งานขนาดกระดาษ A3 บ้าง แต่หลักๆแล้วก็ยังต้องพิมพ์งานส่วนใหญ่เป็นขนาดกระดาษ A4 อยู่ดี ภายใต้ข้อแม้ว่าสถานที่การทำงานนั้นถูกจำกัดด้วยขนาด ซึ่งการตั้งอุปกรณืเครื่องถ่ายเอกสารขนาดใหญ่จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก งานนี้ทีมงานจึงขอพูดถึงรุ่นที่ราคาถูกที่สุดในซี่รี่ย์ใหม่นี้ เพื่อมาดูกันว่า แท้ที่จริงแล้ว เราควรเลือกพริ้นเตอร์แบบไหน และอะไรเป็นปัจจัยที่มีผลต่อความคุ่มค่ามากที่สุด
บราเดอร์A3 อิงค์เจ็ทมัลติฟังก์ชั่นเซนเตอร์ กับรุ่น MFC-J2330DW
เริ่มเรื่องด้วยวัสดุของการนำมาประกอบ แน่นอนว่าการออกแบบที่ดีคือการเลือกใช้วัสดุที่คุ้มค่าและตอบสนองฟังก์ชั่นการใช้งานได้เป็นอย่างดี การออกแบบบางจุดให้มีความทนทานของบราเดอร์ เช่นในส่วนของบานพับ ที่ต้องบอกว่าเป็นส่วนที่ใช้งานหนักที่สุด จึงถูกมองว่าสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังมีในส่วนขอถาดฟีดกระดาษด้านบนเพื่อการสแกนหรือส่งเอกสาร ก็เป็นอีกส่วนที่จะต้องเลือกใช้วัสดุที่แข็งแรงทนทาน เพราะด้วยคุณประโยชน์ที่ต้องถูกใช้งานเป็นประจำก็ทำให้ส่วนอุปกรณ์ตรงนี้มักจะชำรุดก่อนเพื่อนนั่นเอง ไม่เชื่อลองดูเครื่องที่ออฟฟิศของคุณผู้อ่านดูก็ได้ว่าถาดฟีดด้านบนนั้นยังอยู่ดีหรือไม่
ขณะที่ถาดกระดาษหลักซึ่งหากมองในรุ่นเล็กสุดที่ราคา 7,990 บาทนั้น มีถาดใส่กระดาษแบบถาดเดียวแบบเอนกประสงค์ ซึ่งถูกออกแบบมาให้ปรับขนาดได้สำหรับการใส่กระดาษ A4 และ A3 ได้อย่างสะดวก อีกทั้งวัสดุที่ผลิตยังมีความหนาที่มากขึ้น เพื่อป้องกันการแตกหัก และที่สำคัญเพื่อช่วยให้การปรับขนาดถาดเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพราะจากเดิมที่เราเห็นในเครื่องรุ่นที่ขายอยู่ทั่วของเกือบทุกยี่ห้อ มีความบางของตัวคั่นกระดาษเพื่อจำกัดขนาดกระดาษอย่างเห็นได้ชัด จนบางครั้งเรารู้สึกว่าการปรับจะเป็นการทำร้ายถาดกระดาษนั้นๆได้โดยไม่รู้ตัว และท้ายที่สุดก็จะเสียหาย แตกหักและไม่สามารถใช้งานต่อได้นั่นเอง
ขณะที่เรื่องต่อไปคงเป็นเรื่องของความคุ้มค่าของการพิมพ์ เพราะด้วยต้นทุนของการพิมพ์ในปัจจุบัน วัดกันด้วยปริมาณงานที่แลกกับน้ำหมึกว่ามีความคุ้มค่ามากน้อยเพียงใด ซึ่งต้องบอกว่าบราเดอร์ได้ปรับให้ตลับหมึกของพรินเตอร์ซีรี่ย์นี้เป็นหมึกกันน้ำทั้งหมด แต่ราคาหมึกดำอยู่ที่ 400 กว่าต่อตลับเท่านั้นเอง ขณะที่หมึกสีอยู่ที่ 500 กว่าเท่านั้น ทำให้ต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่น A4 มีต้นทุนที่ราว 1บาทกว่าๆเท่านั้น นับว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับต้นทุนการพิมพ์แบบหมึกกันน้ำในเครื่องพริ้นเตอร์ที่มีอยู่ในตลาดทั่วไป
แน่นอนว่าราคาที่ไม่แพงจนเกินไปเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก หรืออย่างน้อยก็กระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อมากขึ้น โดยเครื่องพิมพ์บราเดอร์รุ่น MFC-J2330DW มีราคาเพียง 7,990 บาท สามารถพิมพ์กระดาษ A4 เป็นหลัก และเลือกการพิมพ์กระดาษขนาด A3 ได้ด้วย เพียงแค่ดึงถาดกระดาษหรือปรับให้มีความยาวมากขึ้นก็จะสามารถใส่กระดาษขนาด A3 ได้ทันที ซึ่งเครื่องก็จะตรวจจับขนาดกระดาษและพิมพ์ออกมาให้โดยอัตโนมัติ โดยขนาดความหนาของกระดาษที่รองรับได้สูงสุดต้องไม่เกิน 200 แกรม แต่หากเป็นกระดาษของบราเดอร์เองสามารถใส่ได้ถึง 260 แกรม
เอ๊ะ!…ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? นั่นเพราะว่ากระดาษที่เราเห็นกันอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปจะมีการเคลือบสารบางอย่างแล้วแต่สูตรของกระดาษ เพื่อเพิ่มความมันของกระดาษและส่งเสริมให้การพิมพ์มีความสวยงามมากขึ้น แต่กระนั้นด้วยปริมาณการเคลือบที่ไม่เท่ากัน แต่เครื่องพิมพ์สามารถจับได้เพียงความหนาของกระดาษเท่านั้น กระดาษของบราเดอร์ซึ่งมีการเคลือบที่หนากว่าทำให้ใช้กระดาษที่บางลง กระดาษขนาด 260 แกรมเครื่องจึงตรวจพบว่ามีความบางน้อยกว่า 200 แกรมนั่นเอง ขณะที่กระดาษทั่วไปเคลือบสารบางกว่าทำให้ต้องใช้กระดาษหนากว่านั่นเอง
กลับมาที่ความเร็วของการพิมพ์ แน่นอนว่ามาตรฐานของการพิมพ์นั้นวัดกันที่กระดาษ A4 เป็นหลัก การวัดค่ากระดาษ A3 จึงเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีการวัดค่าเทียบกันมาก่อน แต่กระนั้นด้วยเทคโนโลยีการพิม์ของบราเดอร์ที่ได้รับการพัฒนามาให้วงจรการพิมพ์มีการซ้อนการทำงานกันและทำงานได้พร้อมกัน อธิบายง่ายว่าเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่งคำสั่งให้เครื่องพิมพ์ทำงาน ขณะที่มีการส่งข้อมูลกันนั้นเครื่องจะทำการเตรียมกระดาษล่วงหน้า และเมื่อมีการส่งข้อมูลได้ครึ่งนึง เครื่องจะเริ่มพิมพ์ส่วนครึ่งแรกทันที ส่วนข้อมูลครึ่งหลังก็จะส่งเข้ามาพร้อมการพิมพ์นั่นเอง ทำให้เครื่องพิมพ์ซีรี่ย์นี้มีความรวดเร็วในการพิมพ์มากกว่ารุ่นใดๆ โดยพิมพ์สีได้กว่า 20 แผ่นต่อนาที
ความสามารถในการเชื่อมต่อ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เครื่องพิมพ์สามารถรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายได้อยู่แล้ว เรื่องนี้ก็คงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็ยังอาจจะต้องเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะต้องคำนึงถึงอยู่นั่นเอง เพราะท้ายที่สุดแล้วการรองรับการพิมพ์จากหลากหลายอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นแท็บเล็ต พีซี หรือแม้กระทั่งสมาร์ทโฟนก็เป็นปัจจัยที่ช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น หรือนับเป็นการตอบสนองโมบิลิตี้นั่นเอง ก่อนซื้อจึงควรดูก่อนว่ามีเน็ตเวิร์กอะไรบ้างที่รองรับและเหมาะสมกับที่ทำงาน
ตอนนี้เราคงพอเข้าใจกันบ้างแล้วว่าการเลือกเครื่องพิมพ์ A3 นั้น ควรคำนึงถึงส่วนใดบ้างถึงจะเรียกว่าคุ้มค่าและตอบโจทย์การทำงาน ซึ่งอุปกรณ์ที่ดีต้องไม่เป็นภาระให้เกิดความยุ่งยากมากขึ้นนั่นเอง โดยบราเดอร์ยังได้เน้นย้ำว่านอกจากความคุ้มค่าในแง่ของการพิมพ์แล้ว อายุของอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นก็เป็นปัจจัยที่บราเดอร์คำนึงถึงเช่นเดียวกัน ทำให้เครื่องพิมพ์ซีรี่ย์ใหม่นี้มีความทนทานมากขึ้นกว่าเดิม โดยสามารถนับจำนวนการพิมพ์ได้กว่า 100,000 แผ่น และเมื่อถามถึงการจัดเตรียมอะไหล่ไว้สำหรับเครื่องที่มีอายุการใช้งานนานขึ้นก็ต้องบอกว่า บราเดอร์ได้จัดเตรียมอะไหล่เพื่อรองรับการซ่อมแซมในอนาคตไว้หลังหยุดการผลิตแล้ว นานกว่า 5 ปี และถ้าบางกรณีก็มีการเก็บไว้นานกว่านั้น เนื่องจากความทนทานของเครื่องที่เพิ่มขึ้นก็ต้องดูเป็นกรณีไป
ท้ายที่สุดขอจบด้วยคุณภาพของหมึกพิมพ์ที่เป็นมาตรฐานของทุกยี่ห้อ นั่นก็คือสามารถใช้งานได้ดีภายในอายุการผลิตไม่เกิน 2 ปี ซึ่งหลังจากนั้นอาจจะสามารถใช้งานได้ต่อ ขึ้นอยู่ที่การเก็บรักษาของแต่ละผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่าย ซึ่งโดยส่วนตัวของผู้บริหารสาวสวยอย่างนางสาวสุขุมาล เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้จัดการแผนกผลิตภัณฑ์ บราเดอร์ ประเทศไทย ก็กระซิบบอกเราว่า ท่านเองก็เลือกใช้หมึกพิมพ์หมดอายุช่วงที่มีลดราคา นั่นเพราะอายุของหมึกสเปกโรงงานนั้น ยังสามารถใช้งานได้อยู่นั่นเอง เอาเป็นว่านับเป็นการยืนยันของผู้บริหารว่า หมึกพิมพ์นั้นจะมีอายุการใช้งานที่ดี 2 ปี และหลังจากนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ไม่ได้ ซึ่งให้สังเกตที่ตลับหมึกให้ดีจะเห็นคำว่า “Best before …… ” ไม่ใช่ Expired date นั่นเอง