สหภาพฯกสท – ทีโอที ยังจับมมือเดินหน้าคัดค้านตั้งบริษัทลูก ล่าสุดระดมพนักงานกว่า 500 คนเข้าร่วม ย้ำเดินหน้าคัดค้านทุกรูปแบบ โดยจะส่งหนังสือแถลงการณ์คัดค้านพร้อมแนวคิดรวมบอร์ดเป็นชุดเดียว ฉบับล่าสุดต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 25 ส.ค.นี้อีกรอบ ชี้แผนงานที่วา’ไว้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาและยังคงแข่งกับเอกชนไม่ได้ แนะพนักงานอย่าไปสมัครกับบริษัทใหม่เพราะจะหมดสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจทันที
นายสังวรณ์ พุ่มเทียน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สหภาพ กสทฯและสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้ออกแถลงการณ์ร่วม เรื่อง ขอให้ยุติการแยกทรัพย์สิน จัดตั้งบริษัทลูก ทั้ง บริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ (NBN Co.) และบริษัทโครงข่ายระหว่างประเทศ และศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต (NGDC Co.) ซึ่งหลังจากนี้ในวันที่ 25 ส.ค.จะเดินหน้าไปยื่นหนังสือดังกล่าวต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกครั้งหนึ่ง ที่ศูนย์ดำรงธรรม
การแถลงการณ์ร่วมครั้งนี้ สหภาพทั้ง 2 องค์กรขอให้พิจารณาแนวทางเลือก คือการจัดตั้งคณะกรรมการทีโอที และ คณะกรรมการกสท โทรคมนาคม เป็นคณะกรรมการบริษัทชุดเดียวกัน กำหนดนโยบายในการบริหารใช้ทรัพยากรและสินทรัพย์ร่วมกันเพื่อให้หน่วยงานของรัฐมีขนาดโครงข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ
เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน เป็นพันธมิตรกันโดยไม่แข่งขันกันเอง ร่วมมือกันทำธุรกิจ ลดต้นทุนบริการ ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดการลงทุนซ้ำซ้อน ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคถ่วงดุลในราคาที่เป็นธรรม โดยประชาชนจะได้ประโยชน์จากบริการที่เข้าถึงบริการ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความปลอดภัย ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่มีโครงข่ายของหน่วยงานรัฐเป็นผู้ให้บริการ ทำให้ประเทศชาติเกิดความมั่นคง
“การแยกทรัพย์สินที่เป็นโครงข่ายหลัก ออกจากบริษัทแม่เดิมไปยัง NBN และ NGDC ไม่ได้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด แต่ในทางกลับกันจะทำให้ไม่มีหน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงข่ายเอง ขาดโอกาสการสร้างรายได้จากธุรกิจ ขาดความเชื่อมั่นจากผู้ใช้บริการไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทคู่แข่งเอกชนรายใหญ่ที่มีโครงข่ายพื้นฐานเป็นของตัวเอง และให้บริการครบวงจร”
นอกจากนี้ บริษัทที่ปรึกษาได้วิเคราะห์แผนการดำเนินการของบริษัทใหม่ทั้ง NBN และ NGDC แล้ว พบว่ามีผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องเกินกว่า 5 ปี ไม่มีความชัดเจนของที่มารายได้ อีกทั้งมติครม.ส่งผลให้มีการเพิ่มจำนวนหน่วยงานมากขึ้นเป็น 4 องค์กร จะไม่สามารถประสานการลงทุนหรือวางแผนที่สอดคล้องกัน
ตลอดจนวิธีการถ่ายโอนทรัพย์สินไปไว้ที่บริษัทลูกทั้งสอง ไม่ได้ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาการแข่งขันกันเอง ปัญหากฎระเบียบขั้นตอนการดำเนินงานที่ยุ่งยาก และใช้เวลาดำเนินงานนานขึ้น ปัญหาการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้าง ปัญหาที่มีหน่วยงานรัฐกำกับดูแลหลายหน่วยงาน และที่สำคัญยังไม่มีการสะสางปัญหาข้อพิพาทระหว่างรัฐวิสาหกิจกับเอกชนที่มีมูลค่าราว 1 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ที่ผ่านมา สหภาพฯทั้งสองแห่งรวมถึง สรส.ได้เดินหน้าคัดค้านอย่างเต็มที่ และขอให้พนักงานทั้ง 2 องค์กร ไม่เห็นด้วย ซึ่งสหภาพฯ ของทั้งสององค์กรเป็นองค์กรนิติบุคคลของพนักงานที่จัดตั้งขึ้นตามพ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ.ศ.2543 มีวัตถุประสงค์ตามมาตรา 40(4) ดำเนินการและการให้ความร่วมมือเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และรักษาผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจ
ด้านนายพงศ์ฐิติ พงศ์ศิลามณี ประธานสหภาพแรงงาน ทีโอที กล่าวว่า เพื่อเป็นการยืนหยัดในเจตนารมณ์ขององค์กร จึงอยากขอรณรงค์ให้เพื่อนพนักงานทีโอทีไม่ไปสมัครงานใน 2 บริษัทลูกดังกล่าว ส่วนเรื่องการทำ NBN เสมือนก่อนการตั้งบริษัทนั้นก็ไม่เห็นด้วยเพราะยิ่งทำให้มีการทำงานเดิมล่าช้าไปอีก
ขณะที่ผู้บริหารทีโอทีก็เร่งเปิดรับสมัครพนักงานในบริษัทลูกให้เสร็จภายในต้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อจะให้สามารถเซ็นสัญญาจ้างพนักงานในระหว่างวันที่ 26-27 ก.ย.เพื่อให้ออกจากทีโอทีในเดือนต.ค.
“ต้องการย้ำพนักงานว่าไม่ควรไปทำงานกับบริษัทใหม่เพราะการจูงใจด้านสวัสดิการนั้นไม่ได้ดีไปกว่าอยู่ที่ทีโอทีเดิมเลย โดยตนเองขอยื่นยันว่าจะทำทุกทางเพื่อดำเนินการคัดค้านให้ถึงที่สุด รวมถึงจะดำเนินการตามกฎหมายทุกอย่างเพื่อคัดค้านการตั้งบริษัทลูก”
ด้านนายคมสัน ทองศิริ อดีตเลขาธิการสรส. และเคยเป็นรองประธานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังกับรัฐบาลที่มาโดยวิธีพิเศษชุดนี้อย่างมาก เพราะหากรัฐบาลทำกับ กสท และ ทีโอทีได้ รับรองได้ว่ารัฐวิสาหกิจอื่นก็ต้องถูกกระทำตามมาแน่นอน ซึ่งผลจากการตั้งบริษัทลูกของการไฟฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นที่ขนอม หรือ ราชบุรี ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสุดท้ายคนที่ไปอยู่ก็ไม่รอดและตกงานในที่สุด จึงขอให้พนักงานจงยืนหยัดต่อสู้และไม่ต้องย้ายไปอยู่บริษัทลูก เพราะสิ่งที่ผู้บริหารบอกว่าการย้ายไปอยู่ บริษัทลูก จะมีการนับอายุงานต่อนั้น คือ คำโกหก คำโต เพราะหากพนักงานย้ายไปเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะหมดสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจทันที
ทั้งนี้นอกจากสหภาพของทั้ง 2 บริษัทแล้ว ยังมีพนักงานทั้ง 2 บริษัท ร่วมคัดค้านในครั้งนี้อีกกว่า 500 คน