ไอบีเอ็มร่วมกับเมอร์ส พัฒนาระบบ TradeLens ดึงบล็อกเชน ยกระดับกรมศุลกากรทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ประเดิมท่าเรือแหลมฉบังภายใน 3 เดือน และเตรียมขยายต่อสู่ท่าเรือกรุงเทพฯในอนาคต
ปฐมา จันทรักษ์ รองประธานด้านการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอินโดจีน และกรรมการผู้จัดการไอบีเอ็ม ประเทศไทย กล่าวว่า ระบบ TradeLens ที่ทำด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนในครั้ง เป็นการจัดการโลจิสติกส์ภายใน ระบบการเชื่อมโยงเอกสารการขนส่งภายในและภายนอก การเชื่อมโยงระบบการจัดเก็บภาษีที่โปร่งใส ตลอดจนการติดตามของได้อย่างสะดวก
จากเดิมการทำงานศุลกากรต้องใช้กระดาษต่อครั้งกว่า 200 แผ่น ใช้คนกว่า 300 คน ในการจัดการเอกสารกว่า 80% ที่เกิดขึ้นในระบบศุลกากรเดิม การนำบบ็อกเชนเข้ามาใช้ จึงช่วยลดค่าใช้จ่าย ทำงานได้เร็วขึ้น และคาดว่าจะเพิ่มจีดีพีได้ 5% ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพการออกของได้ราว 15%
โดยระบบ TradeLens จะมีการเปิดข้อมูลเฉพาะส่วนให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง และมีความปลอดภัยที่สูงมากขึ้น การทดสอบระบบโดยการติดตามเส้นทางของสินค้าส้มตั้งแต่ต้นทางจาก วาเลนเซีย แคลิฟอเนีย สหรัฐอเมริกา ปลายทางสู่การส่งมอบให้กับลูกค้าในประเทศไทย
ทั้งนี้การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยไม่ใช่แค่ให้เกิดความง่ายในการใช้ชีวิตและทำธุรกิจที่ง่ายมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นให้มีการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย และเมื่อเกิดการเชื่อมต่อที่เป็นระบบมากขึ้นทั้งทางด้านการเงินและการประกันภัย จากการนำวงบล็อกเชนนั้นๆเข้ามาต่อเชื่อม
วันนี้บล็อกเชนมีส่วนเข้าไปพัฒนาในหลากหลายอุตสาหกรรม ดังนันการเลือกเทคโนโลยีเข้ามาช่วยธุรกิจ ควรเลือกมากกว่าเทคโนโลยีในวันนี้ ควรมองที่การเตรียมการสู่อนาคตด้วย ซึ่งบล็อกเชนของไอบีเอ็มเอง ก็เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมารองรับอนาคต อาทิเช่น การเกิดขึ้นของควอตัมคอมพิวเตอร์ในอนาคต
งาน Think Thailand ในวันนี้เป็นการประกาศให้ทั่วโลกได้รู้นโยบายการพัฒนาดิจิทัลของประเทศไทย ประกาศศักยภาพใการเดินบนเส้นทางดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และตอกย้ำความสามารถของการเป็น ดิจิทัลฮับของอาเซียนได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ด้านนายชูชัย อุดมโภชน์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร กรมศุลกากร กล่าวว่า บล็อกเชนจะช่วยทำให้เราได้รับข้อมูลได้ก่อนที่สินค้าจะเข้ามา ซึ่งเมื่อเราได้แล้วก็จะวิเคราะห์และเตรียมการรองรับการตรวจในสินค้าที่เหมาะสม
จากเดิมเราจะได้รับเอกสารเพื่อพิจารณาตรวจปล่อย ราว 48 ชั่วโมงล่วงหน้า ผ่านมากว่า 10ปี ทำให้เรามีเอกสารจัดเก็บกว่า 2 ชั้น แต่ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าของดิจิทัล ช่วยให้เอกสารเหล่านั้นได้เข้าไปอยู่ในระบบ และทำให้ผู้คนไม่ต้องข้ามายังกรมศุลกากรอีกต่อไป
การตรวจปล่อย การทำเอกสารพิธีการ สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วนถูกต้อง โดยสามารถทำได้อย่างสะดวกผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ในส่วนของตู้คีย์ออสที่เปิดให้บริการยื่นเอกสาร สามารถใช้เวลาลดลง จากเดิมต้องใช้กว่า 3 นาทีต่อ 1 ชุดเอกสาร เหลือเพียงแค่ 3 วินาทีเท่านั้นผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เรามี

วันนี้กรมฯ ตั้งเป้าที่จะสร้างระบบ TradeLens ให้เกิดความสะดวกมากที่สุด ซึ่งภายใน 3 เดือนจะสามารถทำงานระบบ TradeLens Platform ได้ในท่าเรือแหลมฉบัง โดยปัจจุบันเราสามารถมองเห็นระบบเอกสารผ่านบล็อกเชนแล้วเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังอยู่ในขั้นการพัฒนาแอปพลิเคชั่นในการเรียกดูและวิเคราะห์ข้อมูลที่สะดวกมากยิ่งขึ้น
และในอนาคตเราจะขยายระบบไปสู่ท่าเรือกรุงเทพฯ รวมไปถึงการพัฒนาเพิ่มเติมในส่วนของฟีเจอร์อื่นๆเข้าไปสู่ระบบ ทั้งด้านการเงิน ที่เราเห็นว่ามีระบบ eGarantee เพื่อช่วยให้ระบบการันตีสินค้ามีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันกรมมีเจ้าพนักงานกว่า 4,400 คน ลดลงจากเดิมที่มีอยู่ราว 6,000 คน จากการที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการเปิดสาขาการให้บริการที่มากขึ้นก็ตาม
เป้าหมายการพัฒนา TradeLens Platform
ปี 2562 พัฒนาระบบการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า/ส่งออก และโลจิสติกส์ โดยเทคโนโลยี Blockchain
ปี 2563 พัฒนาระบบให้บริการที่เกี่ยวข้องกับระบบอีคอมเมิร์ซ
ปี 2563 ศึกษาและออกแบบ ระบบการเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนข้อมูลการนำเข้า/ส่งออกทางไปรษณีย์
ปี2563 ศึกษาและออกแบบ เพื่อพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช้่น Ai และ Big Data