แอลจีที ผู้นำในกลุ่มธุรกิจบริการด้านไพรเวทแบงก์กิ้งและการบริหารสินทรัพย์ระหว่างประเทศ แบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ในปี 2020 และผลกระทบต่อประเทศไทย
ไม่น่าจะมีผลที่ชัดเจนสำหรับการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในวันที่ 4 หรือ 5 พฤศจิกายน เนื่องจากการรับบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการนับคะแนนจนกว่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งความไม่ชัดเจนนี้อาจทำให้เกิดความกังวลใจและความผันผวนในตลาด
o สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งมีความสำคัญไม่ใช่คะแนนนิยมจากประชาชน ทำให้ต้องดูผลการเลือกตั้งแบบรัฐต่อรัฐ
o จากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา ตลาดมีแนวโน้มที่จะตอบรับในทางลบเมื่อใกล้วันเลือกตั้ง แล้วปรับตัวดีขึ้นหลังจากประกาศผล ซึ่งหมายความว่าอีกสองหรือสี่สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งข้างหน้าตลาดอาจมีความผันผวน
o แม้จะเป็นเช่นนั้น แอลจีทียังคงเห็นการพัฒนาในทางที่ดีของตลาดโดยทั่วไป เนื่องจากการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจะขจัดความไม่แน่นอน และตลาดน่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ วัน
มีแนวโน้มสูงที่การเลือกตั้งจะทำให้เกิดคลื่นสีฟ้า (Blue Wave) ที่พรรคเดโมแครตจะชนะทุกเก้าอี้ของรัฐบาล – ทำเนียบขาว สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา
o ผลการสำรวจในระดับประเทศ โพลชี้ โจ ไบเดน จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี และความได้เปรียบของเขาเหนือ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขยายวงกว้างขึ้น ตลาดคาดว่าไบเดนจะได้รับชัยชนะ หรือแม้กระทั้งเกิดคลื่นสีฟ้า เนื่องจากโควิด-19 ยังคงเป็นปัญหาสำคัญในรัฐที่พรรคการเมืองได้รับคะแนนสนับสนุนสูสีกัน ทำให้ปัญหาโควิด-19 เป็นปัจจัยในการแข่งขันมากกว่าการให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจตามปกติ
สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลในทางลบต่อ โดนัลด์ ทรัมป์ แต่เขาอาจได้รับประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่ว่าเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
o ตัวอย่างเช่น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกากำลังเฟื่องฟูจากอัตราการกู้ยืมที่อยู่ในระดับต่ำซึ่งส่งผลให้ราคาพุ่งสูงขึ้น
o อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่มีที่อายุ 30 ปี ในสหรัฐอเมริกาต่ำกว่า 3% ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ก่อนปี 1971 หากต้องการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านไม่มีช่วงไหนที่จะถูกกว่าเวลานี้
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มที่จะยังคงอ่อนค่าต่อไปในปี 2021 หลังจากที่อ่อนลงเรื่อย ๆ ตลอดปี 2020
o เหตุผลคือรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังขาดดุลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์นับจากสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งมีมูลค่าถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ เดือนสิงหาคม 2020 ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่น่าจะมีขึ้น ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งก็ตาม
o สกุลเงินส่วนใหญ่ เช่น เงินบาท ยูโร และฟรังก์สวิส จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากสหรัฐฯ ขาดดุลการคลังจำนวนมาก รวมถึงขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ตัวอย่างเช่น ขณะนี้เงิน 1 ยูโรมีมูลค่าประมาณ 1.17-1.18 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็เป็นไปได้ที่จะคาดว่ามูลค่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.25 ดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 12 เดือน
สเตฟาน โฮเฟอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุน กล่าวว่า “ในแง่ของการวางตำแหน่งพอร์ตการลงทุนของเรานั้น เรามุ่งเน้นไปที่ภาคเทคโนโลยี บริษัทยาและการแพทย์ และกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งนักลงทุนไทยมีทางเลือกในการลงทุนในด้านเหล่านี้”
o เทคโนโลยี: ด้วยความจริงที่ว่าภาคเทคโนโลยีมีรายได้เติบโตขึ้น ในขณะที่ภาคธุรกิจอื่นในโลกต่อสู้เพื่อทำกำไร รายได้ในภาคเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 33% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน
o บริษัทยาและการแพทย์: ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง ระบบการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานจะไม่เปลี่ยนแปลง ผลกำไรของธุรกิจบริษัทยาและการแพทย์ จะยังคงได้รับการคุ้มครอง ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่มีผลดำเนินการดีในปี 2020
o กลุ่มประเทศยุโรป: เพิ่มน้ำหนักการลงทุน เนื่องจากค่าเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มว่าเงินทุนจะไหลเข้าสู่ยูโรโซน ในขณะที่ภูมิภาคนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น แต่อัตราการเสียชีวิตยังคงอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งหมายความว่ายุโรปได้ค้นพบวิธีจัดการไวรัสโคโรนาในแบบที่ภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกยังไม่มี
เอกภพ เมฆกัลจาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ แอลจีที (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “บริษัทหลักทรัพย์ แอลจีที (ประเทศไทย) จำกัด ได้เริ่มให้บริการการจัดการกองทุนส่วนบุคคลเพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยนักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงแผนการลงทุนของกองทุนส่วนบุคคล 17 ประเภท ซึ่งเป็นแผนการลงทุนเดียวกันกับที่นำเสนอให้แก่นักลงทุนในเอเชีย และนักลงทุนยังสามารถกำหนดเงื่อนไขการลงทุนได้เอง
บริษัทได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากนักลงทุนไทยต้องการให้มีผู้จัดการกองทุนที่มีความชำนาญเข้ามาช่วยบริหารสินทรัพย์โดยเฉพาะในปีที่ตลาดผันผวนหนักอย่างเช่นปีนี้ ตัวอย่างเช่น แผนการลงทุนแบบ Balanced Range Portfolio ซึ่งมีกลยุทธ์การลงทุนกระจายการลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน สามารถให้ผลตอบแทนมากกว่า 8% ในปีนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ตุลาคม 2563)
ซึ่งถือว่ามากกว่าการลงทุนในหลักทรัพย์ไทย หรือแผนการลงทุนในตราสารทุนที่ แอลจีที คัดเลือกให้อยู่ใน Global Innovation Megatrends ประกอบด้วย 6 กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะเติบโตในอนาคต อันได้แก่ AI & Smart Technologies, Automation & Robotics, Advancing Healthcare, Internet of Things, Lifestyle Digitalization และ Data & Cloud ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทยอย่างมาก และในปีนี้สามารถให้ผลตอบแทนได้มากกว่า 44% (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ตุลาคม 2563)”