บริษัท อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ประกาศคำปฏิญาณที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายใต้การดำเนินงานของบริษัทเองภายในปี 2573 และประกาศเป้าหมาย สโคป 3+ ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่มีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1.5 กิกะตันทั่วทั้งอีโคซิสเท็มของอาลีบาบาภายในปี 2578
รายละเอียดเกี่ยวกับเป้าหมายดังกล่าว รวมถึงแนวคิดและคำจำกัดความของแนวคิด สโคป 3+ ที่เพิ่งเปิดตัวไปนั้น จะอยู่ใน รายงานการดำเนินการความเป็นกลางทางคาร์บอนของอาลีบาบา อาลีบาบา มีเป้าหมายที่จะเผยแพร่ข้อมูลที่อัปเดตทุกปี ซึ่งจะมีการตรวจสอบความคืบหน้าจากผู้ตรวจสอบที่ได้รับการรับรอง
“เรามีความมุ่งมั่นที่จะเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่สร้างสรรค์ในสังคม กลยุทธ์ ESG ของเราถูกกำหนดไว้ในภารกิจของเราในการเป็นบริษัทที่ดีที่จะดำเนินกิจการให้ได้ถึง 102 ปี และเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาในอนาคตของ อาลีบาบา” แดเนียล จาง ประธานและซีอีโอของ อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าว “เราจะใช้ประโยชน์จากความเป็นผู้นำที่โดดเด่นของเราในฐานะผู้ดำเนินการแพลตฟอร์ม เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ผู้ค้า และพันธมิตร ทั้งในประเทศจีนและทั่วโลก ด้วย สโคป 3+ พันธกิจใหม่ของเราในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน 1.5 กิกะตันภายในปี 2578”
แผนงานความเป็นกลางทางคาร์บอน
อาลีบาบา กรุ๊ป มุ่งมั่นเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอนสำหรับ สโคป 1 และ 2 ภายในปี 2573 และตั้งเป้าเพื่อลดความเข้มข้นของคาร์บอน 50% ใน สโคป 3 ภายในปี 2573 โดยใช้ระดับของปี 2563 เป็นพื้นฐาน นอกจากนี้ อาลีบาบา คลาวด์ จะรับผิดชอบเป้าหมายที่เหนือกว่า สโคป 3 และมุ่งมั่นที่จะมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573 ทั้งสามสโคป
อาลีบาบา กรุ๊ป มุ่งมั่นที่จะเข้าร่วมโครงการกำหนดเป้าหมายโดยอิงหลักวิทยาศาสตร์ (Science Based Targets หรือ SBTi) และได้ปรับใช้มาตรการและกลยุทธ์ในการขจัดคาร์บอนตามปฏิญญา “Business Ambition for 1.5°C” ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการหลีกเลี่ยงผลกระทบร้ายแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามที่ระบุไว้ใน ข้อตกลงปารีส พ.ศ. 2558
อาลีบาบา จะนำแนวทางที่เป็นระบบและอิงตามวิทยาศาสตร์มาใช้ในการวางแผนและจัดการโครงการริเริ่มการลดคาร์บอน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีประหยัดพลังงานและปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อลดการปล่อยมลพิษ ตั้งใจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพลังงานด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียนที่ก้าวหน้าทันสมัย และการสำรวจแนวคิดริเริ่มในการกำจัดคาร์บอน ซึ่งตามหลักการของบริษัทแล้ว บริษัทให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนมากกว่าการกำจัดคาร์บอน และให้ความสำคัญกับการกำจัดคาร์บอนมากกว่าคาร์บอนออฟเซ็ต
บุกเบิกแนวคิด “Scope 3+”
นอกจากนี้ ในฐานะบริษัทแพลตฟอร์มชั้นนำระดับโลก อาลีบาบา มุ่งมั่นที่จะรับผิดชอบด้านการบุกเบิกแนวคิด “สโคป 3+” มากยิ่งขึ้น ซึ่งเกี่ยวกับการปล่อยมลพิษที่เกิดจากการมีผู้เข้าร่วมอีโคซิสเท็มของแพลตฟอร์มเป็นจำนวนมาก โดยปัจจุบันยังไม่ได้อยู่ใน สโคป 1, 2 และ 3 จึงได้ริเริ่มโครงการ “1.5 กิกะตันเพื่อ 1.5 °C” โดยมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยคาร์บอน 1.5 กิกะตันในอีโคซิสเท็มของ อาลีบาบา ภายในปี 2578
“เราเชื่อว่า การใช้แพลตฟอร์มดิจิตอลมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนคาร์บอนต่ำ ซึ่งสามารถนำไปสู่การบรรลุเป้าหมาย 1.5 องศาของข้อตกลงปารีส แนวคิด ‘สโคป 3+’ จึงขึ้นอยู่กับศักยภาพของการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มดิจิตอลของเรา เพื่อชักจูงและสนับสนุนให้ใช้ผลิตภัณฑ์ บริการ และพฤติกรรมคาร์บอนต่ำในกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอีโคซิสเท็มของเรา อีกทั้งยังแบ่งปันเทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงานและเครื่องมือทางธุรกิจที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของเราให้ลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ร่วมกัน” ดร. เฉิน หลง รองประธาน อาลีบาบา กรุ๊ป และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนความยั่งยืนของ อาลีบาบา กล่าว
อาลีบาบา จะยังคงปรับปรุงและพัฒนาตัวชี้วัดและการวัดการลดปริมาณคาร์บอนใน สโคป 3+ อย่างต่อเนื่อง โดยทำงานและร่วมมือกับองค์กรผู้เชี่ยวชาญชั้นนำทั่วโลก
หน่วยงานที่กำกับดูแล ESG โดยเฉพาะ
อาลีบาบา ยังประกาศเพิ่มเติมเกี่ยวกับขอบเขตการกำกับดูแล ESG สามระดับใหม่ เพื่อดูแล ผลิต และสนับสนุนความสำเร็จของเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและเป้าหมาย ESG ที่กว้างขึ้น หน่วยงานที่กำกับดูแล ESG โดยเฉพาะจะประกอบด้วย:
คณะกรรมการเพื่อความยั่งยืนในระดับผู้บริหาร โดยเจอรี่ หยาง กรรมการอิสระ รวมไปถึงสมาชิกอื่น ๆ ของผู้บริหาร ได้แก่ วอลเตอร์ เท มิง ควัก, โจ ไช่ และ แม็กกี้ อู๋
คณะกรรมการขับเคลื่อนความยั่งยืน รับผิดชอบการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การกำหนดเป้าหมาย และการบริหารจัดการ
กลุ่มปฏิบัติการข้ามธุรกิจ ESG ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากแต่ละหน่วยธุรกิจในระดับการทำงานที่รับผิดชอบด้านการประสานงานและการดำเนินงาน
ในขณะเดียวกัน อาลีบาบา มีความตั้งใจที่จะยังคงปรับปรุงข้อมูลและกลไกการเปิดเผยข้อมูลและรายงาน บริษัทจะยังคงเผยแพร่รายงานความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและรายงาน ESG ทุกปีตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป ซึ่งรวมไปถึงความคืบหน้าประจำปีที่มีความเป็นรูปธรรมด้วย รายงานทั้งหมดจะยึดตามตัวชี้วัดที่ได้มาตรฐานที่สุด ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับในประเทศและระดับสากล โดยได้รับการตรวจสอบจากผู้ตรวจสอบที่ได้รับการรับรอง