อินเตอร์ ฟาร์มา ปรับแผนขาย “โปรแบค อัลตร้า คอลลาเจน” ครั้งใหญ่ หลังลูกค้าตอบรับกระหึ่ม! สินค้าผลิตไม่ทันขาย เปิดช่องทางเฟซบุ๊ก ไลน์ และคอลเซ็นเตอร์ให้ลูกค้าสั่งจองล่วงหน้าหวังดันยอดขายให้ทะลุเป้า 10 ล้านบาทในสิ้นปี 64 พร้อมย้ำชัด! สินค้าดีย่อมเป็นที่ต้องการของตลาดแน่นอน
ดร.ตฤณวรรธน์ ธนิตนิธิพันธ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) หรือ IP เปิดเผยว่า หลังเปิดตัวและเปิดตลาดผลิตภัณฑ์สินค้าในกลุ่มโปรไบโอติกคอลลาเจนภายใต้แบรนด์ “โปรแบค อัลตร้า คอลลาเจน”(Probac Ultra Collagen) ไปเมื่อกลางเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายดีเกินคาด สินค้าขายหมดเกลี้ยงจนต้องปรับแผนใหม่ ด้วยการเปิดให้ลูกค้าสั่งจองสินค้าล่วงหน้าผ่านช่องทาง Facebook เพจ Interpharma Thailand,ไลน์ @interpharma และคอลเซ็นเตอร์ 094-956-9536 ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีเกินคาดเช่นกัน โดยมียอดสั่งจองเข้ามาเป็นจำนวนมากตั้งแต่ต้นเดือนธ.ค.ซึ่งเป้าหมายสิ้นปี 64 ที่คาดว่าจะทำยอดขายโปรแบค อัลตร้า คอลลาเจนได้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ทำได้แน่นอนหรืออาจจะทำได้มากกว่านั้น
“ความสำเร็จของยอดขายดังกล่าว เป็นเพราะสินค้ามีความต้องการของตลาดสูงมากในช่วงนี้ ประกอบกับโปรแบค อัลตร้า คอลลาเจน (Interpharma PROBAC Ultra Collagen) เป็นนวัตกรรมโปรไบโอติกคอลลาเจนที่ดีที่สุด มีจุดขายโดดเด่นด้วยการรวมโปรไบโอติก(Probiotics) 7 สายพันธุ์, พรีไบโอติก(Prebiotics) 2 สายพันธุ์, โคเอนไซม์ คิวเท็น, วิตามินซีและไบโอแอคทีฟ เปปไทด์อัลตร้าคอลลาเจน (Bioactive Peptide Ultra Collagen) เข้าด้วยกันเป็น 12 ส่วนประกอบสำคัญที่ดีต่อผิวรวมอยู่ใน 1 ซอง ที่แบรนด์อื่นๆ ในตลาดไม่มี ขณะเดียวกันนวัตกรรม Bioactive Ultra Collagen สูตรเฉพาะของอินเตอร์ ฟาร์มาก็ยังเป็นคอลลาเจนแบรนด์แรกในตลาดที่มีงานวิจัยรองรับใน Journal of Cosmetic Dermatologyนอกจากนี้ยังถือว่าเป็นโภชนเภสัช ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคได้ตรงจุดที่สุด เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ที่วางขายอยู่ในท้องตลาดทั่วไป”
ดร.ตฤณวรรธน์ กล่าวต่อว่า จากรายงานผลงานวิจัยหากรับประทานคอลลาเจนใน “โปรแบค อัลตร้า คอลลาเจน” นาน 3 เดือน ในผู้หญิงอายุ 33-55 ปี 47 คน พบว่าจำนวนริ้วรอยลดลง 26%, และผิวอ่อนนุ่มขึ้น 19% และทดลองในผู้หญิงอายุ 40-59 ปี จำนวน 33 คน นาน 2 เดือน พบว่า ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น 28% และความหนาแน่นของคอลลาเจนในผิวก็เพิ่มมากขึ้นถึง 9.3% ด้วยซึ่งเชื่อว่าหากสินค้าใช้แล้วเห็นผลจริงได้ตรงความต้องการของผู้บริโภคก็ย่อมเป็นที่ต้องการของตลาดแน่นอน แม้คู่แข่งในตลาดทั้งรายใหญ่ รายกลาง รายเล็ก จะโหมอัดโฆษณาส่งเสริมการขายทุกรูปแบบ เพื่อหวังดึงดูดลูกค้าดึงส่วนแบ่งทางการตลาดก็ตาม