กลุ่มพลเมืองเพื่อเสรีภาพในการสื่อสาร เข้ายื่นหนังสือถึงนางแชสตี เริดส์มูน เอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย ต่อประเด็นข้อเสนอควบรวมกิจการระหว่าง ทรู และ ดีแทค เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศนอรเวย์ กดดัน ให้ บ.เทเลนอร์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของดีแทค พิจารณายุติข้อเสนอควบรวมที่กำลังเกิดขึ้น เนื่องจากจะทำให้เกิดการผูกขาดตลาดการให้บริการมือถือของไทย และสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้บริโภค กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่อาจถูกแทรกแซงข้อมูลข่าวสาร หากการควบรวมสำเร็จ ณ สถานเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย
โดยเนื้อหาของแถลงการณ์มีดังต่อไปนี้
แถลงการณ์ของกลุ่มพลเมืองเพื่อเสรีภาพในการสื่อสาร ประเด็นข้อเสนอควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC
กลุ่มพลเมืองเพื่อเสรีภาพในการสื่อสาร มีความกังวลอย่างยิ่ง ในข้อเสนอควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ดังนี้
1. ข้อเสนอในการควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัทฯ ขัดต่อ พ.ร.บ.โทรคมนาคม มาตรา 21 ที่บัญญัติว่า
“การประกอบกิจการโทรคมนาคม นอกจากต้องอยู่ในบังคับของ กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าแล้ว ให้คณะกรรมการกําหนดมาตรการเฉพาะตามลักษณะการ ประกอบกิจการโทรคมนาคม มิให้ผู้รับใบอนุญาตกระทําการอย่างใดอันเป็นการผูกขาด หรือลด หรือ จํากัดการแข่งขันในการให้บริการกิจการโทรคมนาคมในเรื่องดังต่อไปนี้
(1) การอุดหนุนการบริการ
(2) การถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน
(3) การใช้อํานาจทางการตลาดที่ไม่เป็นธรรม
(4) พฤติกรรมกีดกันการแข่งขัน
(5) การคุ้มครองผู้ประกอบการรายย่อย
2. การควบรวมกิจการของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC จะทำให้เหลือผู้ให้บริการกิจการโทรคมนาคมน้อยลง และจะทำให้เหลือผู้ให้บริการฯ หลักเพียงสองรายเท่านั้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคทั้งในแง่การพัฒนาคุณภาพบริการ การกำหนดราคา และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและแข่งขันในด้านเศรษฐกิจดิจิทัลซึ่งเป็นประเด็นที่ประเทศไทยและนานาประเทศให้ความสำคัญในโลกยุคใหม่ โดยปัจจุบัน ดีแทคมีส่วนแบ่งการตลาดสำหรับสัญญาณมือถืออยู่ที่ 19.6 ล้านเลขหมาย (20%) ทรูอยู่ที่ 32.2 ล้านเลขหมาย (34%) และเอไอเอส 44.1 ล้านเลขหมาย (46%) จะเห็นได้ว่าหากการควบรวมเกิดขึ้นจะทำให้มีผู้ให้บริการรายใหญ่เหลือเพียงสองราย เพราะการควบรวมระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC จะทำให้ทั้งสองบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดเกินกึ่งหนึ่งและสามารถชี้นำตลาดได้ทั้งในเรื่องราคาและคุณภาพของการให้บริการ
3. ทางกลุ่มฯ มีความกังวลเพิ่มเติมในเรื่องเสรีภาพในการสื่อสารของประชาชน ที่ต้องไม่ถูกแทรกแซงโดยบริษัทเอกชนหรือรัฐ หากผู้ให้บริการกิจการโทรคมนาคมมีจำนวนน้อยลง ก็จะทำให้การแทรกแซง คุกคาม จำกัด และปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการใช้เทคโนโลยีสปายแวร์ในการเข้าถึงข้อมูลในการสื่อสารของนักกิจกรรมและผู้ที่เห็นต่างจากรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาต บริษัทเอกชนเองก็มีความรับผิดชอบในการปกป้องสิทธิมนุษยชนตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGPs) ซึ่งในเสาหลักที่สองได้เน้นย้ำว่าบุคคลและองค์กรที่ประกอบธุรกิจไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใดหรือขนาดใดก็ตาม ย่อมมีความรับผิดชอบที่จะเคารพสิทธิมนุษยชน (Respect)
ทางกลุ่มฯ ทราบดีว่าบริษัทเทเลนอร์ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมาภิบาลและสิทธิมนุษยชน อย่างเช่นที่เทเลนอร์ให้ความเห็นไว้ว่าการสื่อสารโทรคมนาคมนั้นมีความสำคัญในการแลกเปลี่ยนสื่อสารความคิดและเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพในการแสดงออก รวมถึงสิทธิความเป็นส่วนตัว การรักษาจุดยืนในเรื่องนี้อาจเป็นไปได้ยากขึ้น หากเกิดการควบรวมกับบริษัทภายในประเทศที่มีนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนและการรักษาความเป็นส่วนตัวไม่เท่ากับมาตรฐานของบริษัทเทเลนอร์
ดังนั้นเราจึงขอเรียกร้องให้เทเลนอร์ยุติข้อเสนอควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ในครั้งนี้ และขอเรียกร้องรัฐบาลนอร์เวย์พิจารณาว่าข้อเสนอควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ในครั้งนี้นั้นเป็นไปตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนหรือไม่
ข้อเรียกร้องทั้งสามข้อนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนเนื่องจากจะมีการลงมติชี้ขาดในที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติในวันที่ 10 สิงหาคม 2565 จึงเรียนมาเพื่อพิจารณาดำเนินการ
ด้านนางชาร์ชติ เริดสมูเอิน เอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “รับรู้ถึงความเดือดร้อนและสิ่งที่เกิดขึ้นรวมถึงจะนำเอาแถลงการณ์ของภาคประชาชนในครั้งนี้ เราจะส่งเรื่องให้ทางเทเลนอร์และรัฐบาล และขอยืนยันว่า จะตรวจสอบเรื่องนี้ หากไม่ถูกต้องหรือผิดหลักธรรมภิบาลของนอร์เวย์ เรื่องนี้ก็จะไม่ปล่อยไว้ เพื่อให้พิจารณาทบทวนถึงการรวมกิจการครั้งนี้ เทเลนอร์เป็นบริษัทใหญ่อันดับ3 ในประเทศ เลย สถานทูตก็จะช่วยเป็นสื่อกลางส่งต่อแถลงการณ์นี้”