วีเอสที อีซีเอส ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดจบปี 2565 ได้ตามเป้า หลังครึ่งปีแรก จบได้กว่า 12%ราว 17,000 ล้านบาท คาดการณ์ทั้งปีโตกว่า 15% ราว 34,000 ล้านบาท เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้โหนดธุรกิจใหม่ 3 กลุ่ม มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า โซล่าร์เซลล์ และ
นายสมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาด้วยสถานการณ์ชิพขาดแคลนที่เริ่มคลี่คลายดีขึ้น และเริ่มทยอยการส่งมอบได้บ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ทำให้ยอดการเติบโตครึ่งปีที่ผ่านมายังโตได้เพียงแค่ 12% ซึ่งคาดว่าหากมีสินค้าเพียงพอ น่าจะโตได้มากถึง 18% เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ของเราเป็นกลุ่มลูกค้าองค์กรที่มีกำลังซื้อแบบล็อตใหญ่ ซึ่งอาจจะสวนทางกับภาพรวมตลาดที่โตกันเล็กน้อยเพียงตัวเลขเดียวเท่านั้น
โดยสถานการณ์ภาพรวมตลาดไอที ชิพเซ็ตยัง shortage แต่ไม่ได้เกิดจากจีนและไต้หวัน แต่เป็นไปตามธรรมชาติของตลาดเอง ก่อนหน้านั้นชิพตัวใหญ่ของมือถือก็ขาดอยู่แล้ว เนื่องจากดีมานด์การใช้ชิพสูงขึ้นจริงๆ ต้องยอมรับว่าชิพนี้ไม่ใช่ใช้แค่ในมือถือแล้ว แต่ใช้ในหลายอุปกรณ์ เช่น IOT รถยนต์ อุตสาหกรรมต่างๆ ใช้ชิพตัวเดียวกันเกือบทั้งหมด จากที่ผมได้ไปร่วมงาน VMware ที่สิงคโปร์ คาดการณ์ว่าสองปีหลังโควิด โลกจะใช้ไอทีสูงขึ้นประมาณ 25% ดีมานด์สูงขึ้นอย่างชัดเจนเพราะการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ทำให้ธุรกิจไอทียังอยู่ในกระแสของความจำเป็นต้องใช้ ต้องมีอย่างยิ่ง
วันนี้เรามียอดสั่งซื้อที่ต้องรอของเพื่อมาส่งมอบให้กับลูกค้าค้างอยู่ราว 700ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์ขาดแคลนสินค้า ซึ่งทั้งโครงการเราอาจจะมีสินค้าอยู่ราว 95% ก็ทำให้ทั้งโครงการไม่สามารถส่งมอบให้กับลูกค้าได้ทั้งโครงการ ลูกค้าก็จะไม่รับของแน่นอน ซึ่งก็เชื่อว่าการทยอยส่งมอบของซัพพลายเออร์จะทำให้เราส่งมอบให้กับลูกค้าที่ค้างไว้ได้ราว 300ล้านบาท ที่เหลือก็คาดว่าจะค้างไว้ส่งมอบได้ปีหน้าต่อไป
โดยภาพรวมครึ่งปีแรกของวีเอสที อีซีเอส โตขึ้นประมาณ 12% ครึ่งปีแรกของเมื่อปีที่แล้วก็โตประมาณ 10% เช่นกัน จริงๆ ควรจะโตได้มากกว่านี้ แต่ความรุนแรงของ shortage ฝั่งเอนเตอร์ไพรส์ คือสินค้าประเภทเน็ตเวิร์ค ทั้งซิสโก้ อารูบ้า ขาดตลาดอย่างรุนแรง รวมทั้งสินค้าไฮเอนด์เน็ตเวิร์ค เช่น F5, Arista, Cisco, Aruba ขาดตลาดทั้งหมด ตามที่ข่าวออกกันคือ ต้องรอของกันนานถึง 1 ปีเลย โชคดีที่มีของที่สั่งไว้ค้างตั้งแต่ปีที่แล้วที่ทยอยส่งเข้ามา ตัวเลขถึงได้ไต่ขึ้นมาได้ แต่การเติบโตของเราก็ยังดูน้อย จึงเป็นแค่ 12% ซึ่งถ้าของไม่ขาดและยังส่งได้ ก็น่าจะโตถึง 16-18%
ด้วยความร่วมมือจากบริษัทที่เป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ ที่มีความใกล้ชิดและทำโปรเจ็คร่วมกันมานาน ทำให้เป็นอีกอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้โตคือความต้องการใช้ไอทีมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในภาคธุรกิจรายเล็ก กลางใหญ่ ธนาคาร ภาครัฐทั้งระดับประเทศและท้องถิ่น ต้องการระบบเน็ตเวิร์คที่คุณภาพสูงขึ้น ระบบสตอเรจคุณภาพดี ระบบซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น การทำงานโดยไม่ใช้กระดาษ การทำ E-Signature ซิเคียวริตี้ที่ป้องกัน cyber attack พวกนี้จะเกี่ยวข้องกับซอฟท์แวร์ทั้งหมด
และแม้ตัวเลขคอนซูเมอร์ในครึ่งปีแรกจะลดลง แต่เป็นเพราะเรามีความใกล้ชิดกับลูกค้ามาก ทำให้ไปกินแชร์จากคนอื่นมาได้ จึงทำให้เรามีการเติบโตแม้เพียงแค่ single digit ก็ตาม ส่วนเหตุผลที่ตลาดโน้ตบุ๊คโตน้อย มาจากกำลังซื้อลดลงเพราะค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น และสภาพเศรษฐกิจ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ
เนื่องจากตลาด smb เป็นรากฐานใหญ่ สร้างความเติบโตอย่างถาวร การเข้าหาเงินทุนลำบาก ขาดการซัพพอร์ตจากรัฐบาลทำให้ขยายธุรกิจได้ยากเมื่อเทียบกับบริษัทใหญ่ที่มีความเข้มแข็งด้านการเงินมากกว่า เรื่อง smb เป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติที่รัฐบาลควรเข้ามาดูแล เรื่องสำคัญคือ แหล่งเงินทุนกู้ให้กับ smb เพื่อให้ธุรกิจภาพรวมของทั้งประเทศไปต่อได้อย่างมั่นคง
ด้วยปัจจัยจากกำลังซื้อหดหายที่ค่าครองชีพสูงขึ้น เงินเฟ้อสูงขึ้น แน่นอนว่ากลุ่มเอสเอ็มอีจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น การเข้าถึงเงินทุนติดขัด เอสเอ็มอีรายเล็กไม่สามารถรับโครงการใหญ่ๆ ในภาพรวมของยอดขายไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาถือว่าติดลบ ซึ่งทุกรายก็คาดหวังว่าจะย่อแล้วเติบโตขึ้น แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครกล้าฟันธงว่าจะมีการเติบโตจริง ย้งคงทำได้แค่เฝ้าดูสถานการณ์กันต่อไป
ภาพที่เห็น ณ ตอนนี้ หลังจากเริ่ม Q3 มาคือ คอนซูเมอร์ drop ลง ดูได้จากสินค้ากลุ่มนี้ไม่ shortage มาตั้งแต่ต้นปีแล้ว ตอนนี้ของล้นตลาด เพราะกำลังซื้อหดหาย ภาพรวมยอดขายของไตรมาสสามถือว่าติดลบในกลุ่มของคอนซูเมอร์เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทุกคนก็คาดหวังว่าปลายปีน่าจะดีขึ้นเพราะเป็นช่วงเทศกาล
ขณะที่ตลาดฝั่ง government เป็นรายได้ก้อนใหญ่มาก เพราะรัฐบาลมีการใช้เงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะเป็นหน่วยงานท้องถิ่น เช่น กทม อบจ อบต ก็ยังมีเม็ดเงินจำนวนมาก และมีโปรเจ็คต์เยอะมาก
คาดการณ์รายได้ครึ่งปีแรกประมาณ 17,000 ล้านบาท ปีที่แล้วปิดรายได้ทั้งปีที่ประมาณ 31,000 ล้านบาท สำหรับปี 2022 นี้คาดการณ์ว่ารายได้น่าจะอยู่ที่ 34,000 ล้านบาท และคาดการณ์โตที่ 10-12% และในปี 2023 คาดหวังตัวเลขการเติบโตที่ 10-15%
เชื่อว่าการเปลี่ยนระบบภายในองค์กรให้เป็นดิจิทัล ที่เราเริ่มทำมาก่อนเกิดโควิด 2 ปี คือ เริ่มที่การทำ E-Document ก่อน, มีการทำระบบฐานข้อมูลใหม่ทั้งหมด infrastructure เพื่อรองรับการทำงาน anywhere any place ให้มีการทำงานอย่างรวดเร็วและปลอดภัย โดยพัฒนาในส่วน network, ทำรีพอร์ตใหม่, security ถ้าจะนับเม็ดเงินลงทุนเพื่อพัฒนาระบบภายในบริษัทใช้เงินไปมากกว่า 30-50 ล้านบาท อีกทั้งเรายังได้รับการแต่งตั้งให้เป็น exclusive ของสินค้า HP Multi-Function A3 อีกด้วยได้ส่งผลดีต่อสถานการณ์ปัจจุบัน