อะโดบี เปิดตัวเว็บแอปพลิเคชั่น Firefly พื้นที่ปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์โดยอาศัย AI หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการทดลองใช้งานรุ่นเบต้าเป็นเวลา 6 เดือน ความสามารถที่ขับเคลื่อนด้วย Firefly ได้ถูกรวมเข้ากับเวิร์กโฟลว์ใหม่ ๆ บน Adobe Creative Cloud, Adobe Express และ Adobe Experience Cloud ซึ่งพร้อมแล้วสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์
โมเดล Generative AI ของ Firefly สำหรับรูปภาพ เอฟเฟ็กต์ข้อความ และเวกเตอร์ รองรับข้อความคำสั่งกว่า 100 ภาษา และช่วยให้ผู้ใช้ทั่วโลกสร้างคอนเทนต์ที่น่าทึ่งโดยสามารถใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้อย่างปลอดภัย
ฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย Adobe Firefly พร้อมใช้งานแล้วในแอป Creative Cloud เช่น Generative Fill และ
Generative Expand ใน Photoshop, Generative Recolor ใน Illustrator และ Text to Image และ Text Effects ใน Adobe Express การบูรณาการแบบเนทีฟเหล่านี้มอบพลังสร้างสรรค์ให้กับลูกค้ามากขึ้นกว่าเดิม ช่วยให้พวกเขาสามารถทดลอง คิดค้น และสร้างสรรค์ผลงานด้วยวิธีที่แปลกใหม่ อะโดบีจะนำเสนอฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย Firefly มาสู่แอป Creative Cloud มากขึ้น และเวิร์กโฟล์วสำหรับงานถ่ายภาพ, รูปภาพ, งาน illustration, การออกแบบ, วิดีโอ, 3D และอื่น ๆ
อีไล กรีนฟิลด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจสื่อดิจิทัลของอะโดบี กล่าวว่า “ด้วยการสร้างสรรค์ผลงานกว่า 2 พันล้านชิ้นโดยใช้ Firefly รุ่นเบต้า ครีเอเตอร์ทำให้เรารู้สึกทึ่งกับการมีส่วนร่วมและการตอบรับอย่างท้วมท้น ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เรานำเสนอความสามารถด้าน Generative AI ที่ออกแบบมาให้มีความปลอดภัยในเชิงพาณิชย์ และบูรณาการอย่างไร้รอยต่อเข้ากับอินเทอร์เฟซที่ลูกค้าชื่นชอบ”
Firefly for Enterprise เปิดให้ใช้งานแล้ว โดยนำเสนอความสามารถด้าน Generative AI ที่ก้าวล้ำไปสู่ Adobe GenStudio และ Express for Enterpriseอะโดบีกำลังทำงานร่วมกับลูกค้าองค์กรเพื่อให้สามารถปรับแต่งโมเดลโดยใช้แอสเซ็ทของลูกค้าในการสร้างคอนเทนต์แบบกำหนดเองและคอนเทนต์เฉพาะสำหรับแบรนด์ และลูกค้ายังสามารถเข้าถึง Firefly API เพื่อฝังเทคโนโลยี Firefly ไว้ในอีโคซิสเต็มส์ของลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเวิร์กโฟลว์ของลูกค้า นอกจากนี้ Firefly for Enterprise ยังมีการเสนอจ่ายค่าชดเชยให้กับธุรกิจสำหรับฟีเจอร์ Firefly ที่ใช้ในการสร้างภาพ
แบรนด์ระดับโลกชั้นนำ เช่น Accenture, IHG Hotels & Resorts, Mattel, NASCAR, NVIDIA, ServiceNow และ Omnicom ได้ทำงานร่วมกับอะโดบีเพื่อศึกษาร่วมกันว่า Firefly สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และช่วยเร่งคอนเทนต์ซัพพลายเชนได้อย่างไร
เปิดตัว Generative Credit
อะโดบีเปิดตัวโมเดลใหม่ที่ใช้เครดิตสำหรับ Generative AI ซึ่งครอบคลุมบริการทั้งหมด โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับการปรับใช้เวิร์กโฟลว์การสร้างรูปภาพที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดล Firefly Image ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แผนบริการแบบชำระเงินของ Firefly เวอร์ชั่น Express Premium และ Creative Cloud จะประกอบด้วยการจัดสรร “fast” Generative Credits ซึ่งเป็นโทเค็นที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ข้อความคำสั่งในการสร้างรูปภาพและเวกเตอร์ในPhotoshop, Illustrator, Express และ Firefly
หลังจากที่ใช้ Generative Credits “หมดเร็วกว่ากำหนด” สมาชิกจะยังสามารถสร้างรูปภาพ Generative AI และเอฟเฟ็กต์ข้อความได้ แต่ประสบการณ์การใช้งานจะช้าลง และหลังจากครบจำนวน Generative Credit แล้ว ลูกค้ายังสามารถซื้อชุดบริการ Generative Credit เพิ่มเติมได้ โดยอะโดบีคาดว่าจะเปิดให้ผู้ใช้สามารถซื้อ Generative Credit “fast” เพิ่มผ่านแพ็คเกจการสมัครสมาชิกได้ ในเดือนพฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป
ความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของคอนเทนต์ที่สร้างด้วย AI
Firefly จะประกอบด้วยหลายโมเดล ซึ่งได้รับการปรับแต่งเพื่อให้บริการลูกค้าแต่ละกลุ่มที่มีชุดทักษะและพื้นฐานทางเทคนิคที่หลากหลาย โดยรองรับรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างหลากหลาย โมเดลแรกของอะโดบีได้รับการฝึกโดยใช้รูปภาพจาก Adobe Stock ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่อนุญาตให้ใช้งานอย่างเปิดเผย และเป็นคอนเทนต์สาธารณะที่ลิขสิทธิ์หมดอายุ โดยมุ่งเน้นที่รูปภาพ, text effects โดยถูกออกแบบมาเพื่อสร้างคอนเทนต์ที่สามารถใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้อย่างปลอดภัย
โมเดล Adobe Firefly ในอนาคตจะใช้ประโยชน์จากแอสเซ็ท เทคโนโลยี และข้อมูลการฝึกที่หลากหลายจากอะโดบีและองค์กรอื่น ๆ และเมื่อมีการปรับใช้โมเดลอื่น ๆ อะโดบีจะยังคงให้ความสำคัญกับ bias ที่อาจเป็นอันตรายได้
ตามค่าเริ่มต้น Firefly จะรวม Content Credentials ไว้ในทุกเนื้อหาที่สร้างขึ้นโดยใช้ Firefly เพื่อระบุว่ามีการใช้ generative AI ซึ่งนำความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสมาสู่ดิจิทัลคอนเทนต์มากขึ้น โดย Content Credentials เป็นรายละเอียดที่สามารถตรวจสอบได้ ทำหน้าที่เป็น “ฉลากโภชนาการ” ดิจิทัล ซึ่งแสดงข้อมูลต่าง ๆ ตั้งแต่ชื่อของแอสเซ็ท วันที่สร้าง เครื่องมือที่ใช้ในการสร้าง และการแก้ไข Content Credentials ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องมือโอเพ่นซอร์สฟรีจาก Content Authenticity Initiative (CAI) โดยข้อมูลยังคงเชื่อมโยงกับคอนเทนต์นั้น ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะใช้งาน เผยแพร่ หรือจัดเก็บไว้ที่ใดก็ตาม ช่วยให้ระบุแหล่งที่มาได้อย่างเหมาะสม และช่วยให้ผู้บริโภคมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้ดิจิทัลคอนเทนต์