เอสซีจี เผย 9 เดือนปี 2567 กำไร 6,854 ล้านบาท ลดลง 75%

เอสซีจี เผย 9 เดือนปี 2567 กำไร 6,854 ล้านบาท ลดลง 75%

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – เอสซีจี แถลงผลประกอบการไตรมาส 3 และ 9 เดือนปี 2567 โดยมีรายได้จากการขาย 380,660 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่กำไรลดลง 75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA 38,768 ล้านบาท ลดลง 10% และกำไรสุทธิ 6,854 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการเดินเครื่องและเริ่มต้นดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) ที่เวียดนาม ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลง

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปีนี้มีความผันผวนรุนแรง วัฏจักรปิโตรเคมีทั่วโลกอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับค่าเงินบาทผันผวน ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของเอสซีจี โดยบริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ มุ่งเน้นการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อรักษาเสถียรภาพและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

รายละเอียดผลประกอบการ

  • รายได้จากการขาย: 380,660 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน
  • EBITDA: 38,768 ล้านบาท ลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • กำไรสุทธิ: 6,854 ล้านบาท ลดลง 75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • กำไรสุทธิไม่รวมรายการพิเศษ: ลดลง 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • รายได้ไตรมาส 3 ปี 2567: 128,199 ล้านบาท
  • EBITDA ไตรมาส 3 ปี 2567: 9,879 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2567: 721 ล้านบาท ลดลง 81% จากไตรมาสก่อน

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อผลประกอบการ

  • ค่าใช้จ่ายการเดินเครื่องโครงการ LSP: โครงการ LSP ที่เวียดนามเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 ปี 2567 ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในการเดินเครื่องและเริ่มต้นดำเนินการ
  • ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง: วัฏจักรปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลง ทำให้ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง
  • ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง: ผลประกอบการของบริษัทร่วมลดลง ส่งผลให้ส่วนแบ่งกำไรลดลง
  • อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทแข็งค่า: ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในไตรมาส 3 ปี 2567 ส่งผลกระทบต่อรายได้จากการส่งออก

เอสซีจี

กลยุทธ์รับมือเศรษฐกิจ

เอสซีจี วางกลยุทธ์รับมือเศรษฐกิจ โดยตั้งเป้าหมายสำคัญ ดังนี้

  • ลดต้นทุนองค์กร: 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 โดยมุ่งเน้นการลดต้นทุนวัตถุดิบ พลังงาน และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
  • ลดเงินทุนหมุนเวียน: 10,000 ล้านบาท ภายในไตรมาส 1 ปี 2568 โดยบริหารสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ และเร่งรัดการเก็บหนี้
  • ยกเลิกกิจการที่ไม่ทำกำไร: เช่น SCG Express ซึ่งเป็นธุรกิจขนส่งพัสดุ และ OITOLABS ในอินเดีย ซึ่งเป็นธุรกิจ Start up
  • ขายสินทรัพย์: (Asset Divestment) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน โดยพิจารณาขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก หรือสินทรัพย์ที่ไม่ได้สร้างผลตอบแทนตามที่คาดหวัง
  • เพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทน: ในโรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศไทยเป็น 50% ภายในปีนี้ เช่น การใช้ขยะอุตสาหกรรม และชีวมวล
  • นำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้: (Automation) ในกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนแรงงาน

กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในระยะยาว

  • เดินหน้าลงทุนในอาเซียน: เอสซีจียังคงเดินหน้าลงทุนในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายในอาเซียนเติบโต 10% โดยเฉพาะในเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง
  • ลงทุนโครงการ LSP ที่เวียดนาม: เอสซีจี เดินหน้าลงทุนในโครงการปิโตรเคมี LSP ที่เวียดนาม โดยใช้งบลงทุน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้สามารถรองรับก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
  • มุ่งเน้นธุรกิจสีเขียว: เอสซีจี มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ SCG Green Choice โดยมีสินค้าหลัก เช่น ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ และพลาสติกรีไซเคิล SCGC GREEN POLYMER™ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด

#เอสซีจี #ผลประกอบการ #เศรษฐกิจ #ปิโตรเคมี #ก่อสร้าง #ค้าปลีก #ธุรกิจสีเขียว #น้ำท่วม #SMEs

Related Posts