SCG Decor เผชิญเศรษฐกิจซบเซา-ภัยพิบัติ กำไรไตรมาส 3 ลดลง 22%

SCG Decor เผชิญเศรษฐกิจซบเซา-ภัยพิบัติ กำไรไตรมาส 3 ลดลง 22%

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – SCG Decor รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาและภัยพิบัติในประเทศไทยและเวียดนาม แม้รายได้ 9 เดือนแรกยังแข็งแกร่ง EBITDA แตะ 2,530 ล้านบาท แต่กำไรไตรมาส 3 ลดลง 22%

บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องเซรามิก สุขภัณฑ์ และสินค้าตกแต่งบ้านชั้นนำของประเทศไทย รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 โดยภาพรวมได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ส่งผลให้กำลังซื้อภายในประเทศและต่างประเทศชะลอตัวลง

ผลประกอบการไตรมาส 3/2567

บริษัทฯ มีรายได้จากการขายในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 6,235 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) โดยมีสาเหตุหลักมาจากกำลังซื้อทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศยังคงซบเซา จากภาวะหนี้ครัวเรือน ปริมาณบ้านสร้างเสร็จรอขายที่อยู่ในระดับสูงในประเทศไทย และสถานการณ์อุทกภัยในประเทศไทยและเวียดนาม

หากพิจารณารายได้รายประเทศในไตรมาสที่ 3/2567 ประเทศไทยมีรายได้จากธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและธุรกิจอื่นอยู่ที่ 2,940 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน (QoQ) และลดลงร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และรายได้จากธุรกิจสุขภัณฑ์ 1,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน (QoQ) เนื่องจากราคาขายปรับตัวสูงขึ้นจากการเน้นขายตลาดระดับบน (High-End) แต่ลดลงร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ด้วยปัจจัยกำลังซื้อภายในประเทศอ่อนตัวและจากภาวะเงินเฟ้อและหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง สถานการณ์อุทกภัย

อีกทั้งงานโครงการและโครงการราชการชะลอตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณการขายในประเทศไทยลดลง สอดคล้องกับความต้องการของตลาดเซรามิกในประเทศไทยในไตรมาสที่ 3/2567 ประมาณการลดลงร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน (QoQ)

ประเทศเวียดนามมีรายได้ 1,328 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลงร้อยละ 14 จากไตรมาสก่อน (QoQ) เป็นผลมาจากสถานการณ์อุทกภัยที่รุนแรงจากพายุยางิ และซูลิกทางภาคเหนือ และภาคกลางของประเทศในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน ส่งผลให้ความต้องการของตลาดเซรามิกในประเทศเวียดนามลดลงร้อยละ 12 อย่างไรก็ตาม ภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศมีแนวโน้มค่อยๆฟื้นตัว หลังจากที่กฎหมายแม่บทประกาศใช้แล้วเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 อยู่ระหว่างการจัดทำกฎหมายท้องถิ่นของแต่ละจังหวัด

สถานการณ์ตลาดเซรามิกในประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซียชะลอตัวลดลงอยู่ที่ร้อยละ 24 และร้อยละ 9 ตามลำดับจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากปัจจัยสภาพเศรษฐกิจ ประเทศฟิลิปปินส์อุปสงค์อ่อนตัวในอุตสาหกรรมก่อสร้างและการค้าปลีก ค่าเงินเปโซที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้ร้านค้าที่เร่งเพิ่มการนำเข้าสินค้าสูงกว่าปกติในช่วงที่ผ่านมา ชะลอการสั่งซื้อ ส่งผลให้รายได้อยู่ที่ 492 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 18 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลงร้อยละ 28 จากไตรมาสก่อน (QoQ) และประเทศอินโดนีเซียมีรายได้อยู่ที่ 346 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากไตรมาสก่อน (QoQ) เนื่องจากการหยุดซ่อมบำรุงเตาของโรงงานในไตรมาส 2

สำหรับกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 189 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลงร้อยละ 33 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ)

ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2567

แม้จะเผชิญกับความท้าทายในไตรมาส 3 แต่ผลประกอบการของบริษัทฯ สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2567 ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีรายได้อยู่ที่ 19,585 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมี EBITDA อยู่ที่ 2,530 ล้านบาท และกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทอยู่ที่ 730 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อผลประกอบการ

  • ภาวะเศรษฐกิจซบเซา: เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง การปล่อยสินเชื่อบ้านเข้มงวดขึ้น และงานโครงการก่อสร้างชะลอตัวลง ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อในประเทศ
  • ภัยพิบัติทางธรรมชาติ: อุทกภัยในประเทศไทยและเวียดนามส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างและการสั่งซื้อสินค้า
  • ความท้าทายในต่างประเทศ: ตลาดต่างประเทศ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ เช่น อุทกภัย การแข่งขันด้านราคา และอุปสงค์ที่อ่อนตัว ส่งผลกระทบต่อรายได้จากต่างประเทศ

กลยุทธ์และแผนการดำเนินงาน

เพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ และรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจ บริษัทฯ มุ่งเน้นกลยุทธ์ดังนี้

  • ส่งมอบสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม: พัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เช่น
    • กระเบื้องเกรซพอร์ซเลน (Glazed Porcelain): มุ่งเน้นการพัฒนา Glazed Porcelain ที่มีลวดลาย และผิวสัมผัส ที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ Mega Trend เช่น สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้าเพื่อสุขภาพ และสินค้าที่ใช้เทคโนโลยี
    • สุขภัณฑ์อัจฉริยะ: พัฒนาสุขภัณฑ์อัจฉริยะ ที่เน้น Hygiene และ Wellness เช่น สุขภัณฑ์ COTTO รุ่น Vizio
    • วัสดุปิดผิว LT by COTTO: ขยายตลาดวัสดุปิดผิว LT by COTTO ซึ่งเป็นวัสดุปูพื้น SPC ที่ติดตั้งง่าย ใช้งานสะดวก ป้องกันปลวก และป้องกันน้ำ 100%
    • สินค้าตกแต่งบ้านอื่น ๆ: เช่น เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้าน ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ของลูกค้า ยุคใหม่
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน:
    • ลดต้นทุน: มุ่งเน้นการลดต้นทุน ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง และการบริหารจัดการ
    • เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต: นำเทคโนโลยี และระบบอัตโนมัติ มาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุน
    • บริหารจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุด: นำระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) มาใช้ เพื่อบริหารจัดการทรัพยากร ขององค์กร ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
  • ลงทุนในโครงการลดต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพ:
    • ลงทุนในเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัย: เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุน เช่น โครงการปรับปรุงเทคโนโลยี และเครื่องจักร สำหรับผลิตสินค้าเกรซพอร์ซเลน ในประเทศเวียดนาม
    • ลงทุนในพลังงานทดแทน: เช่น โครงการติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน และลดต้นทุนพลังงาน
  • ขยายธุรกิจ:
    • ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์: ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเน้นการขยายตลาด ในภูมิภาคอาเซียน
    • ขยายธุรกิจวัสดุปิดผิว: เช่น LT by COTTO
    • ขยายธุรกิจตกแต่งบ้าน: ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเน้นการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เช่น ร้านค้า COTTO Life

ความคืบหน้าโครงการลงทุน

บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าลงทุนในโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และขยายกำลังการผลิต โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • โครงการปรับปรุงเทคโนโลยีและเครื่องจักรสำหรับผลิตสินค้าเกรซพอร์ซเลนในประเทศเวียดนาม: ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักร และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในไตรมาส 1/2568 ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซพอร์ซเลน ที่เป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม และตอบสนองความต้องการของตลาดในเวียดนามที่กำลังเติบโต
  • โครงการติดตั้งโซลาร์เซลล์: บริษัทฯ ได้ดำเนินการติดตั้งโซลาร์เซลล์ บนหลังคาโรงงาน และคลังสินค้า ในประเทศไทย และเวียดนาม เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน และลดต้นทุนพลังงาน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จ และเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทั้งหมดภายในปี 2568
  • โครงการก่อสร้างร้านค้า COTTO Life สาขาภูเก็ต: อยู่ระหว่างการตกแต่ง และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 4/2567 เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่าย และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว
  • โครงการพัฒนาสินค้าใหม่: บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ Mega Trend เช่น สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Product) สินค้าเพื่อสุขภาพ (Health & Wellness) และสินค้าที่ใช้เทคโนโลยี (Smart & Innovation) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และตอบสนองความต้องการของลูกค้า ในยุคปัจจุบัน

แนวโน้มธุรกิจ

คาดว่าตลาดกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในไตรมาส 4/2567 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นบ้าง จากการซ่อมแซมบ้านหลังสถานการณ์น้ำท่วม โครงการจากภาครัฐ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือน การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น และสถานการณ์ในต่างประเทศ ที่จะมีผลต่อการฟื้นตัวของตลาด โดยบริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุน และค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และรักษาความสามารถในการทำกำไร

#SCGDecor #ผลประกอบการ #ไตรมาส3 #เศรษฐกิจ #ภัยพิบัติ #กลยุทธ์ #การลงทุน #แนวโน้มธุรกิจ

Related Posts