กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ประกาศมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติให้เพิ่มเงินลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันและรองรับความต้องการพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
- – พีทีที สเตชั่น ร่วมมือกรมการค้าภายใน ลุยตรวจหัวจ่ายน้ำมันทั่วประเทศ
- – SHARGE เปิดตัวโซลูชัน EV Fleet Solutions ครบวงจร
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้เพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP จำนวนประมาณ 63,028 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 1,776 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ในการก่อสร้างโครงการ จัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยการเพิ่มเงินลงทุนในครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถดำเนินโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จและสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
โครงการ CFP เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของไทยออยล์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยการสร้างหน่วยกลั่นน้ำมันดิบใหม่ที่มีขนาดกำลังการกลั่นสูงขึ้น ทดแทนหน่วยกลั่นเดิม ส่งผลให้กำลังการกลั่นน้ำมันดิบของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากเดิม 275,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน ช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มความสามารถในการกลั่นน้ำมันดิบชนิดหนัก ซึ่งโดยทั่วไปมีราคาต่ำกว่าน้ำมันดิบชนิดอื่นๆ อีกทั้งยังสามารถผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 5 และน้ำมันอากาศยาน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด
โดยโครงการ CFP เป็นโครงการลงทุนที่สำคัญของไทยออยล์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจโรงกลั่น สร้างความมั่นคงทางพลังงาน และสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัทฯ การเพิ่มเงินลงทุนในครั้งนี้จะช่วยให้โครงการ CFP สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างเต็มศักยภาพ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2561 ให้เข้าลงทุนในโครงการ CFP โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 4,825 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 160,279 ล้านบาท โดยคาดว่าการก่อสร้างโครงการ CFP จะแล้วเสร็จในไตรมาส 1 ปี 2566 แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงาน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการเพิ่มขึ้น และทำให้ระยะเวลาการก่อสร้างโครงการ CFP ต้องถูกขยายออกไป
นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ผู้รับเหมาหลักไม่ชำระเงินค่าจ้างค้างจ่ายให้กับผู้รับเหมาช่วง จนทำให้ผู้รับเหมาช่วงหยุดงานหรือลดจำนวนคนงานลง ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการก่อสร้างโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา บริษัทฯ จึงต้องพิจารณาทางเลือกในการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ โดยได้ให้ที่ปรึกษาด้านเทคนิคมาตรวจสอบและวิเคราะห์การก่อสร้างที่เหลืออยู่ของโครงการ จากรายงานการตรวจสอบและวิเคราะห์ของที่ปรึกษาด้านเทคนิคเห็นว่าการที่จะก่อสร้างโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จจะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเติมอีกประมาณ 63,028 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 1,776 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทฯ ไม่ดำเนินการก่อสร้างโครงการ CFP ต่อไปให้แล้วเสร็จ จะทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากโครงการ CFP ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ รวมทั้งในระยะยาวบริษัทฯ อาจประสบปัญหาเรื่องขีดความสามารถในการผลิตของหน่วยกลั่นที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งบางหน่วยมีอายุการใช้งานมากกว่า 60 ปี และอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ หากมีการเปลี่ยนแปลงการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดของเทคโนโลยีของหน่วยผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นความท้าทายในการดำเนินธุรกิจการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมของบริษัทฯ ในอนาคต
คณะกรรมการบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จได้ตามวัตถุประสงค์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อบริษัทฯ ผู้ถือหุ้น และประเทศชาติในระยะยาว
สำหรับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนในโครงการ CFP ได้แก่
- เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน: โครงการ CFP จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถแข่งขันในธุรกิจการกลั่นน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
- ลดต้นทุนการผลิต: บริษัทฯ จะสามารถใช้น้ำมันดิบชนิดหนัก ซึ่งมีราคาต่ำกว่า ในการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง
- เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์: โครงการ CFP จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูง เช่น น้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 5 และน้ำมันอากาศยาน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีมูลค่าสูง
- เพิ่มโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ: โครงการ CFP จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมี และธุรกิจพลังงานสะอาดอื่นๆ ในอนาคต
- เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน: โครงการ CFP จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเสนอเรื่องการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP ต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
#ไทยออยล์ #โครงการCFP #พลังงานสะอาด #การลงทุน #ธุรกิจโรงกลั่น