TheReporterAsia – ท่ามกลางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และปัญหามลภาวะทางอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบัน โรคทางตาอย่าง “กระจกตาโก่ง” กำลังกลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพดวงตาของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ภาวะนี้น่ากังวลอย่างไร? สาเหตุเกิดจากอะไร? และเราจะป้องกันได้อย่างไร? รายงานพิเศษฉบับนี้ ได้รับเกียรติจาก ศ.พญ.งามจิตต์ เกษตรสุวรรณ แพทย์เฉพาะทางด้านจักษุวิทยา การผ่าตัดแก้ไขสายตา กระจกตา และต้อกระจก จากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มาไขข้อข้องใจ พร้อมให้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
สถานการณ์ในประเทศไทย… สัญญาณอันตรายที่ต้องจับตา
ศ.พญ.งามจิตต์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงว่า แนวโน้มของผู้ป่วยโรคกระจกตาโก่งในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังไม่มีการเก็บข้อมูลสถิติอย่างเป็นทางการในระดับประเทศ แต่จากข้อมูลเบื้องต้นของศูนย์เลเซอร์ พบว่าจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจและวินิจฉัยว่ามีภาวะกระจกตาโก่งก่อนเข้ารับการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยวิธีเลสิก มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งตัวเลขนี้อาจสูงกว่า 10% และที่น่าตกใจคือ ภาวะนี้พบได้ในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเยาวชนและวัยทำงาน อายุระหว่าง 20-40 ปี
“สมัยก่อนตอนที่ดิฉันยังเป็นนักศึกษาแพทย์ การจะพบผู้ป่วยโรคกระจกตาโก่งสักหนึ่งหรือสองเคสนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก แต่ในปัจจุบัน เราพบผู้ป่วยโรคนี้มากขึ้น และที่สำคัญคือ เราพบในผู้ป่วยอายุน้อยลงเรื่อยๆ” ศ.พญ.งามจิตต์ กล่าว
เปิดปัจจัยเสี่ยง… ทำไม “กระจกตาโก่ง” ถึงเพิ่มขึ้น?
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะกระจกตาโก่งนั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 ประการ ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรม และพฤติกรรมการขยี้ตา
- พันธุกรรม: หากบุคคลในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคกระจกตาโก่ง สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้สูงขึ้นด้วย
- การขยี้ตา: นับเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กเล็ก การขยี้ตาซ้ำๆ จะทำให้กระจกตาที่บอบบางอยู่แล้ว เกิดการโก่งตัวผิดรูปได้ง่าย
นอกเหนือจากปัจจัยหลักทั้งสองประการนี้แล้ว ศ.พญ.งามจิตต์ ยังชี้ให้เห็นถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเกิดโรคกระจกตาโก่ง ดังนี้
- มลภาวะทางอากาศ PM2.5: ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่เป็นปัญหาวิกฤตในปัจจุบัน ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ แต่ยังก่อให้เกิดอาการระคายเคืองตาอย่างรุนแรง ซึ่งนำไปสู่การขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว และเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดภาวะกระจกตาโก่งได้
- รังสีอัลตราไวโอเลต (UV): แม้จะยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันอย่างชัดเจน แต่จากข้อมูลทางสถิติ พบว่าประชากรในประเทศไทย และกลุ่มประเทศในแถบตะวันออกกลาง ซึ่งมีแสงแดดจัดตลอดทั้งปี มีความชุกของโรคกระจกตาโก่งสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ
- ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการคัดกรอง: การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ ทำให้ปัจจุบันเราสามารถตรวจพบโรคกระจกตาโก่งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ทำให้ดูเหมือนว่าจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาจเป็นเพราะเราสามารถตรวจพบโรคได้เร็วขึ้นต่างหาก
“กระจกตาโก่ง”… ภัยเงียบที่บั่นทอนการมองเห็น
ศ.พญ.งามจิตต์ เน้นย้ำว่า ภาวะกระจกตาโก่งเป็นภาวะที่อันตรายและไม่ควรมองข้าม เพราะหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา กระจกตาจะยิ่งโก่งตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้การมองเห็นผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว และไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาเป็นปกติได้ แม้จะพยายามแก้ไขด้วยการใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์แล้วก็ตาม
“การที่กระจกตาบิดเบี้ยว โก่งตัวผิดรูปไปแล้วนั้น มันไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้… หน้าที่ของเราคือ ต้องพยายามรักษาสภาพกระจกตาให้คงรูป สวยงาม และใช้งานได้ดีเหมือนเดิม” ศ.พญ.งามจิตต์ อธิบาย
สัญญาณเตือนภัย… อาการแบบไหน? ที่บ่งบอกว่าอาจเป็น
- สายตาเปลี่ยนแปลงบ่อย: โดยเฉพาะในเด็ก หากพบว่าต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยผิดปกติ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังมีภาวะกระจกตาโก่ง
- มองเห็นภาพไม่ชัด: แม้จะใส่แว่นสายตาแล้ว ก็ยังรู้สึกว่ามองเห็นไม่คมชัด หรือภาพมีลักษณะเบลอ
- ภาพบิดเบี้ยว: มองเห็นภาพเป็นคลื่น บิดเบี้ยวผิดรูป หรือมีเงาซ้อน
หากมีอาการเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอาการร่วมกัน ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด
การรักษา “กระจกตาโก่ง”… ทางเลือกและวิธีการ
แนวทางการรักษาภาวะกระจกตาโก่งนั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคในแต่ละระยะ หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยาหยอดตาเพื่อชะลอการโก่งตัวของกระจกตา หรืออาจใช้วิธี Cross-linking (CXL) ซึ่งเป็นการฉายแสงอัลตราไวโอเลต (UV) ร่วมกับการหยอดวิตามินบี 2 เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้างของกระจกตา
ในกรณีที่กระจกตาโก่งตัวมาก จนส่งผลกระทบต่อการมองเห็นอย่างรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้คอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ หรือพิจารณาการผ่าตัดใส่เลนส์เสริม (Implantable Contact Lens: ICL) หรือในกรณีที่รุนแรงที่สุด อาจต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา
“5 ม.” เกราะป้องกัน “กระจกตาโก่ง” ในยุคที่เต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง
ศ.พญ.งามจิตต์ แนะนำหลักการง่ายๆ “5 ม.” เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันภาวะกระจกตาโก่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กและผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยง
- ไม่ขยี้ตา: เป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากรู้สึกคันตา ระคายเคืองตา ให้ใช้วิธีประคบเย็นบริเวณดวงตา หรือใช้ยาหยอดตาแก้แพ้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร แทนการขยี้ตา
- มองให้ชัด: หากรู้สึกว่ามีปัญหาในการมองเห็น มองภาพไม่ชัด หรือมีการเปลี่ยนแปลงในการมองเห็น ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวัดสายตาและรับการแก้ไขที่เหมาะสม
- ไม่ละเลย: หากมีบุคคลในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคกระจกตาโก่ง ควรพาสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวไปตรวจคัดกรองโรคด้วย
- ไม่ประมาท: หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีฝุ่นละออง PM2.5 สูง หรือสวมแว่นตาป้องกันเมื่อจำเป็นต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าว
- ไม่มองข้าม: หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติทางสายตา ไม่ว่าจะเป็นอาการเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที
“เลสิก” กับ “กระจกตาโก่ง”… ความเสี่ยงที่ต้องรู้
ศ.พญ.งามจิตต์ กล่าวถึงความกังวลของผู้ที่สนใจเข้ารับการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยวิธีเลสิก ว่าอาจมีภาวะกระจกตาโก่งซ่อนอยู่ ซึ่งหากไม่ได้รับการตรวจคัดกรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนการผ่าตัด อาจทำให้กระจกตาที่บางอยู่แล้ว เกิดการโก่งตัวมากขึ้นหลังการผ่าตัดได้
“แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดแก้ไขสายตา (Refractive Surgery) ในยุคปัจจุบัน จะต้องให้ความสำคัญกับการตรวจคัดกรองภาวะกระจกตาโก่งอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยมีสภาพกระจกตาที่ปกติ และเหมาะสมกับการทำเลสิก” ศ.พญ.งามจิตต์ กล่าว
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยวิธีเลสิก ควรปรึกษาจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเข้ารับการตรวจประเมินสภาพกระจกตาอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีภาวะกระจกตาโก่งแฝงอยู่
กระจกตาโก่งเป็นภาวะทางตาที่อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นอย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที ในยุคที่เต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น การดูแลสุขภาพดวงตาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง การหมั่นสังเกตอาการผิดปกติทางสายตา การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และการเข้ารับการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ จะช่วยให้เราสามารถป้องกันและรับมือกับโรคกระจกตาโก่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาการมองเห็นที่ชัดเจน และคงคุณภาพชีวิตที่ดีไว้ได้
#กระจกตาโก่ง #PM25 #สายตาสั้นเทียม #เลสิก #ภัยเงียบ #จักษุแพทย์ #บำรุงราษฎร์ #สายตา #เทคโนโลยี #UV #ขยี้ตา #พันธุกรรม