ธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เผยปี 67 โตสวนกระแสเศรษฐกิจซบ กำไรพุ่ง

ธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เผยปี 67 โตสวนกระแสเศรษฐกิจซบ กำไรพุ่ง

ธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เผยผลประกอบการปี 67 โตสวนกระแสเศรษฐกิจซบ กำไรพุ่ง-สินเชื่อขยายตัว-คุณภาพหนี้ดีขึ้น ประกาศแผนปี 68 ลุยสินเชื่อ SME-บ้าน, บริหารความเสี่ยง, จับตาผลกระทบนโยบาย “ทรัมป์ 2.0” สงคราม และเศรษฐกิจจีน หวังดันรายได้-กำไรโตต่อเนื่อง พร้อมโชว์แกร่ง NPL Coverage Ratio สูงอันดับ 2 ในอุตสาหกรรม

ท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจโลกที่ยังคงถาโถมในปี 2568 ทั้งจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจหวนคืนสู่ทำเนียบขาวอีกครั้ง (“ทรัมป์ 2.0”), ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงคุกรุ่น ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง, ตลอดจนการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และผลกระทบจาก Climate Change ธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กลุ่มธุรกิจการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Financial Group) ยังคงแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย พร้อมประกาศแผนธุรกิจปี 2568 ที่มุ่งเน้นการขยายตัวอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน

ปี 2567: ผลประกอบการโดดเด่น ท่ามกลางความท้าทาย

LH Financial Group สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปี 2567 ที่ผ่านมา แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับความยากลำบาก โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 8,200 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,017 ล้านบาท แม้ว่ากำไรสุทธิจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยประมาณ 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ผลกำไรจากธุรกิจหลักอย่างธนาคารพาณิชย์ยังคงเติบโตอย่างน่าประทับใจถึง 18.7% คิดเป็นมูลค่า 2,010 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญคือ การขยายตัวของสินเชื่อที่เติบโตถึง 7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ติดลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (สินเชื่อบ้าน) ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 12% ในขณะที่ภาพรวมตลาดสินเชื่อบ้านทั้งระบบเติบโตเพียง 3% เท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันและความแข็งแกร่งของ LH Bank ในตลาดสินเชื่อบ้าน

ยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารยังสามารถบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL ratio) ลดลงมาอยู่ที่ 2.3% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 2.9% อย่างมีนัยสำคัญ และมีอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL coverage ratio) สูงเป็นอันดับ 2 ของอุตสาหกรรม แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการบริหารความเสี่ยงและการตั้งสำรองฯ ที่เพียงพอและรอบคอบ

ปี 2568: ขยายพอร์ต SME – สินเชื่อบ้าน – บริหารความเสี่ยงเชิงรุก

สำหรับปี 2568 LH Bank กำหนดแผนธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่:

  1. สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME): LH Bank ตั้งเป้าที่จะขยายพอร์ตสินเชื่อ SME อย่างมีนัยสำคัญ โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้า SME ขนาดกลาง ซึ่งมีรายได้ต่อปีระหว่าง 50-500 ล้านบาท ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโต เช่น อุตสาหกรรมการค้า (trading), อิเล็กทรอนิกส์ และอื่นๆ (ข้อมูลในเอกสารไม่ครบถ้วน) ธนาคารจะดำเนินการพัฒนา product program ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ปรับปรุงกระบวนการพิจารณาสินเชื่อให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงการสร้างแบรนด์ LH SME ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

    นายวรวุฒน์ โตเจริญธนาผล, President และหัวหน้ากลุ่มงานการเงินและบัญชี LH Bank กล่าวย้ำถึงความเชื่อมั่นในกลุ่ม SME ว่า “เรามีความเชื่อมั่นในศักยภาพของกลุ่มธุรกิจ SME แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะมีความไม่แน่นอน แต่เรามองลึกลงไป และพบว่า SME ส่วนใหญ่ยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี เราจึงมุ่งเน้นไปที่ SME ที่มีศักยภาพในการเติบโต และพัฒนา product program ที่สามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้อย่างแท้จริง”

  2. สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (สินเชื่อบ้าน): LH Bank ยังคงให้ความสำคัญกับสินเชื่อบ้าน ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อบ้านในปีนี้ไว้ที่ 20% หลังจากที่ปีที่ผ่านมาสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการเติบโตถึง 12% ธนาคารมีแผนที่จะขยายพื้นที่ให้บริการไปยังเมืองต่างๆ ในต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ, พัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น สินเชื่อ Home for Cash (สินเชื่อบ้านแลกเงิน), และปรับปรุงกระบวนการดิจิทัลสำหรับการรีไฟแนนซ์และการขอสินเชื่อเพิ่มเติม เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการแก่ลูกค้า

    ผู้บริหาร LH Bank เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในการขยายตลาดสินเชื่อบ้านว่า “เราจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมในระดับราคา 3-20 ล้านบาท และขยายไปยังกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการ LTV (Loan-to-Value) ที่ภาครัฐออกมาตรการสนับสนุน นอกจากนี้ เรายังคงให้ความสำคัญกับความรวดเร็วในการให้บริการ โดยเรามีความสามารถในการอนุมัติสินเชื่อได้ภายใน 1 วัน”

  3. การบริหารความเสี่ยง: LH Bank ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าอัตราส่วน NPL ratio จะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 3% และ NPL coverage ratio จะยังคงอยู่ในระดับสูง เพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางการเงินของธนาคาร

    นายฉี ชิง-ฟู่, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH Fund) กล่าวถึงการบริหารความเสี่ยงว่า “เราคาดการณ์ว่าค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (provision) ในปีนี้จะยังคงใกล้เคียงกับปีที่แล้ว เนื่องจากในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา เราได้ตั้งสำรองฯ ไว้อย่างระมัดระวัง และลูกค้าส่วนใหญ่ของเราสามารถฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี”

จับตาปัจจัยเสี่ยงภายนอก: นโยบาย “ทรัมป์ 2.0” – สงคราม – เศรษฐกิจจีน

แม้ว่าจะมีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย แต่ LH Bank ก็ยังคงติดตามสถานการณ์และปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:

  • นโยบาย “ทรัมป์ 2.0”: หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง และกลับมาดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าอย่างเข้มข้น อาจส่งผลกระทบต่อการค้าโลก และเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน, ยานยนต์ และผลิตภัณฑ์พลาสติก
  • สงครามและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์: สถานการณ์ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก และกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
  • เศรษฐกิจจีน: การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน อาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์สินค้าจากประเทศไทย และอาจทำให้สินค้าจากจีนทะลักเข้ามาในตลาดอาเซียนมากขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดมีความรุนแรงขึ้น
ธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
นายวรวุฒน์ โตเจริญธนาผล President และหัวหน้ากลุ่มงานการเงินและบัญชี ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Bank)

LH Bank ประกาศแผน 5 ปี มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย 6 กลยุทธ์หลัก

ธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Bank) เผยแผนธุรกิจระยะ 5 ปี (2568-2572) มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่าน 6 เป้าหมายเชิงกลยุทธ์หลัก ได้แก่ การเพิ่มส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ด้วยการบริหารต้นทุนทางการเงินและผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ, การขยายฐานลูกค้าผ่านผลิตภัณฑ์และบริการมูลค่าเพิ่ม, การเพิ่มรายได้จากค่าธรรมเนียม, การขายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพิ่มเติมโดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายพันธมิตร, การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI, และการดำเนินธุรกิจธนาคารอย่างยั่งยืน แผนดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ LH Bank ในการปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์ทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ LH Bank ได้กำหนดโครงการและกิจกรรมหลัก (Key Initiatives) โดยแบ่งตามกลุ่มลูกค้าและบริการ ครอบคลุมทั้งลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่และขนาดกลาง (Conglomerate & Mid Cap), ลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME), ลูกค้าธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business), บริการธนาคารเพื่อธุรกรรมและการชำระเงิน (Transactional Banking & Payment), สินเชื่อรายย่อย (Retail Lending), และบริการสาขาและการบริหารความมั่งคั่ง (Branch Banking & Wealth Management) โดยมีเป้าหมายหลักในการขยายฐานลูกค้าในทุกกลุ่ม, เพิ่มรายได้, และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน

สำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่และขนาดกลาง LH Bank จะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมสีเขียว พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านธุรกรรมและการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ในส่วนของ SME จะมุ่งเน้นการเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมใหม่ๆ และปรับปรุงกระบวนการขายและสินเชื่อแบบ end-to-end ขณะที่กลุ่มลูกค้าธุรกิจระหว่างประเทศ จะใช้ประโยชน์จากเครือข่ายทั่วโลกของ CTBC เพื่อขยายฐานลูกค้า FDI ในประเทศไทย พร้อมทั้งให้บริการสินเชื่อ Supply chain financing และบริการให้คำปรึกษาทางธุรกิจ

ในด้านบริการธนาคารเพื่อธุรกรรมและการชำระเงิน LH Bank จะขยายผลิตภัณฑ์ด้านการบริหารเงินสด และปรับปรุงแพลตฟอร์มดิจิทัลทั้งสำหรับลูกค้ารายย่อยและลูกค้าองค์กร เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งาน สำหรับกลุ่มสินเชื่อรายย่อย จะขยายสินเชื่อบ้านในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีผลตอบแทนสูง และขยายสินเชื่อส่วนบุคคลผ่านช่องทางพันธมิตร ในส่วนของบริการสาขาและการบริหารความมั่งคั่ง จะมุ่งเน้นการเพิ่มเงินฝาก CASA, พัฒนาผลิตภัณฑ์การบริหารความมั่งคั่งใหม่ๆ, และนำเทคโนโลยี AI และการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้เพื่อปรับปรุงการบริการ

แผนธุรกิจระยะ 5 ปีของ LH Bank สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการเป็นธนาคารที่เติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล, การขยายฐานลูกค้าในทุกกลุ่ม, การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า, และการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

LH Bank รุกคืบตลาด SME และธุรกิจระหว่างประเทศ ตั้งเป้าสินเชื่อโตกระฉูดในปี 2025

ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Bank) ประกาศแผนปฏิบัติการและเป้าหมายหลักปี 2025 มุ่งเน้นการเติบโตในสองส่วนธุรกิจสำคัญ ได้แก่ สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และธุรกิจระหว่างประเทศรวมถึงบริการ Trade Finance โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ท้าทาย พร้อมแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน หวังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขยายฐานลูกค้าอย่างแข็งแกร่ง

ขยายพอร์ตสินเชื่อ SME เจาะกลุ่มอุตสาหกรรมศักยภาพสูง

LH Bank เล็งเห็นถึงศักยภาพในการเติบโตของตลาด SME ในประเทศไทย จึงได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อ SME ที่ 1.9 เท่า และตั้งเป้าหมายสำหรับปี 2025 ไว้ที่ 1.2 เท่า หรือคิดเป็นการเติบโต 16% จากยอดสินเชื่อคงค้าง โดยคาดว่าจะมียอดสินเชื่อ SME เพิ่มขึ้นเป็น 27 พันล้านบาท

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว LH Bank ได้วางแผนปฏิบัติการเชิงรุกสำหรับปี 2025 ไว้ดังนี้:

  1. เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เจาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย: LH Bank เตรียมเปิดตัวโปรแกรมผลิตภัณฑ์สินเชื่อ SME ใหม่ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม โดยจะคัดเลือกอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ออกมานั้นสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง

  2. ขยายสาขา “อมตะซิตี้”: LH Bank มีแผนที่จะขยายสาขา “อมตะซิตี้” ซึ่งเป็นสาขาที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี ภายในเดือนมีนาคม 2025 การขยายสาขานี้จะช่วยให้ LH Bank สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้า SME ในพื้นที่อุตสาหกรรมได้อย่างใกล้ชิด และให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

  3. สร้างแบรนด์ LH SME: LH Bank จะดำเนินกิจกรรมทางการตลาดและการสร้างแบรนด์อย่างเข้มข้น ผ่านช่องทางที่ได้คัดสรรมาแล้ว เพื่อสร้างการรับรู้และความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ LH SME ในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งจะช่วยให้ LH Bank สามารถดึงดูดลูกค้า SME รายใหม่ๆ และรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้

  4. ปรับโครงสร้างองค์กร เพิ่มศักยภาพทีมขาย: LH Bank จะปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาทักษะและความสามารถของพนักงานขาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหาลูกค้า SME รายใหม่ๆ ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ การมีทีมขายที่แข็งแกร่งจะช่วยให้ LH Bank สามารถขยายฐานลูกค้า SME ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

รุกตลาดธุรกิจระหว่างประเทศ จับมือ CTBC ขยายฐานลูกค้า

LH Bank ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการเติบโตในประเทศเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการ Trade Finance โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 1.5 เท่า และตั้งเป้าหมายสำหรับปี 2025 ไว้ที่ 1.4 เท่า หรือคิดเป็นยอด Trade Finance ที่ 15 พันล้านบาท

แผนปฏิบัติการหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจระหว่างประเทศและ Trade Finance ในปี 2025 ประกอบด้วย:

  1. ผนึกกำลัง CTBC: LH Bank จะใช้ประโยชน์จากเครือข่ายระหว่างประเทศและฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งของ CTBC ซึ่งคาดว่าจะเป็นธนาคารพันธมิตรหรือบริษัทแม่ เพื่อสร้างพอร์ตโฟลิโอขนาดใหญ่ในห่วงโซ่อุปทานการผลิตเทคโนโลยีระดับโลก (Global Tech manufacturing supply chain) ความร่วมมือกับ CTBC จะช่วยให้ LH Bank สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ในต่างประเทศ และขยายขอบเขตการให้บริการได้อย่างกว้างขวาง

  2. ยกระดับประสบการณ์ลูกค้าด้วย e-Banking: LH Bank จะให้บริการ Trade Finance ผ่านแบบฟอร์มใบสมัครอัจฉริยะบนช่องทาง e-Banking เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และง่ายดายในการทำธุรกรรมให้กับลูกค้า การปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจและดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ให้มาใช้บริการ

  3. เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Trade ใหม่: LH Bank มีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Trade ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด Trade Finance ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

แผนปฏิบัติการและเป้าหมายหลักของ LH Bank ในปี 2025 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ทั้งในตลาด SME และตลาดธุรกิจระหว่างประเทศ โดยเน้นที่การใช้ประโยชน์จากความร่วมมือกับพันธมิตร (CTBC), การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า, การปรับปรุงช่องทางการให้บริการให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ, และการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

ปี 67 ยกระดับเครดิต-พอร์ตสินเชื่อโต-ใส่ใจ ESG ควบคู่ขยายฐานลูกค้า

ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Bank) เปิดเผยความสำเร็จเชิงกลยุทธ์ประจำปี 2567 (Key Strategic Achievements 2024) ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางการเงินและการดำเนินงานที่เติบโตอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งด้านการบริหารพอร์ตสินเชื่อ การขยายฐานลูกค้า และการดำเนินธุรกิจตามหลักการ ESG (Environmental, Social, and Governance) โดยสามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นในหลายด้าน ท่ามกลางความท้าทายของสภาวะเศรษฐกิจ

1. พอร์ตสินเชื่อคุณภาพ: เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

LH Bank ประสบความสำเร็จในการบริหารพอร์ตสินเชื่อให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงที่สมดุล โดยมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในด้านต่างๆ ดังนี้:

  • อันดับเครดิตเพิ่มขึ้น: สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำทั้งในและต่างประเทศให้การยอมรับในความแข็งแกร่งทางการเงินของ LH Bank โดย TRIS Rating ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตของ LH Bank จาก “A” เป็น “AAA” และบริษัทแม่ LH Financial Group (LHFG) จาก “A-” เป็น “AA+” ขณะที่ Fitch Ratings ยังคงอันดับเครดิตของทั้ง LHFG และ LH Bank ไว้ที่ “AA+” สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและความมั่นคงทางการเงินในระดับสูง
  • สินเชื่อเติบโตเหนือตลาด: สินเชื่อโดยรวมของ LH Bank เติบโตถึง 7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ติดลบ 1% อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการเติบโตของสินเชื่อบ้านที่สูงถึง 12% หรือคิดเป็นมูลค่า 6 พันล้านบาท (YoY) เมื่อเทียบกับการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ 3%
  • ขยายฐานลูกค้าไต้หวัน: LH Bank ประสบความสำเร็จในการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของ CTBC (คาดว่าเป็นบริษัทแม่หรือพันธมิตรทางธุรกิจ) ในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้จากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) โดยสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน (TWN) เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 43% YoY จาก 8 พันล้านบาท เป็น 12 พันล้านบาท และยอดคงค้างของ Trade Finance จากกลุ่ม TWN เติบโต 33% YoY จาก 2.3 พันล้านบาท เป็น 3 พันล้านบาท
  • ปรับสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อ: LH Bank ได้ปรับสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อไปทางกลุ่มลูกค้ารายย่อย (Retail) มากขึ้น จาก 22% เป็น 23% สะท้อนถึงความพยายามในการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการเติบโต
  • บริหารจัดการ NPL ได้อย่างมีประสิทธิภาพ: LH Bank สามารถบริหารจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้อยู่ในระดับต่ำเพียง 2.3% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 2.9% แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อ
  • ขยายตลาด SME: ไม่เพียงแต่เน้นสินเชื่อรายใหญ่ LH Bank ขยายตลาดไปสู่ SME โดยมีการใช้ industry intelligence เพื่อหา SME ที่มีศักยภาพ พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ เช่น Soft Loan, Green Transition Loan เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลายกลุ่ม

2. ขยายฐานลูกค้า-เพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม-ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล

LH Bank มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้จากค่าธรรมเนียม ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญดังนี้:

  • ลูกค้ารายย่อยเพิ่มขึ้น: จำนวนลูกค้ารายย่อยของ LH Bank เพิ่มขึ้น 11% เป็น 269,000 คนในปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจากแคมเปญการตลาดที่ประสบความสำเร็จ เช่น “B-You Wealth” และ “Nont Tanont”
  • รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต: รายได้ค่าธรรมเนียมจากกองทุนรวม (Mutual Fund Fee) เพิ่มขึ้น 8% จากการให้คำปรึกษาของ Relationship Manager (RM) และแอปพลิเคชัน PROFITA ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมจาก Bancassurance เพิ่มขึ้น 11%
  • ปริมาณ FCD เพิ่มขึ้น: LH Bank ประสบความสำเร็จในการเพิ่มปริมาณเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit: FCD) ผ่านแคมเปญใหม่และการใช้ช่องทางดิจิทัล โดยยอดคงเหลือ FCD เพิ่มขึ้นถึง 52% YoY จาก 3.1 พันล้านบาท เป็น 4.7 พันล้านบาท

3. ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Banking)

LH Bank ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีผลงานที่โดดเด่นในด้านต่างๆ ดังนี้:

  • สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนเติบโต: สินเชื่อเพื่อความยั่งยืน (Sustainable loan) เพิ่มขึ้น 1.8 เท่า เป็น 2.2 พันล้านบาท โดยผ่านสินเชื่อสีเขียว (green loan) และสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน (sustainable-linked loan)
  • สร้างความร่วมมือ: LH Bank ได้สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น EEI, MASCI และ Abeam Consulting เพื่อเสนอสินเชื่อ green transition พร้อมบริการให้คำปรึกษาแก่ลูกค้า
  • ลงทุนเพื่อความยั่งยืน: LH Bank มีการลงทุนเพื่อความยั่งยืนใหม่ 1.2 พันล้านบาท ทำให้ยอดรวมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนทั้งหมดอยู่ที่ 3 พันล้านบาท
  • ได้รับการยอมรับด้าน ESG: LH Bank ได้รับใบรับรอง ESG 100 และอันดับ ESG ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้รับการปรับเพิ่มจาก “BBB” เป็น “A” สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG

ความสำเร็จเชิงกลยุทธ์ของ LH Bank ในปี 2567 สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการเงิน, การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ, การขยายฐานลูกค้าที่ประสบความสำเร็จ, การเพิ่มรายได้จากค่าธรรมเนียม, และความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ท่ามกลางความท้าทายของสภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ

LHFG ตั้งเป้าปี 68 โตแกร่ง! ชู 6 เป้าหมายทางการเงิน

กลุ่มธุรกิจการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHFG) ประกาศเป้าหมายทางการเงินปี 2568 (LHFG 2025 Financial Targets) อย่างชัดเจน ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมตั้งเป้าหมายที่ท้าทายใน 6 ด้านหลัก ครอบคลุมทั้งการขยายตัวของสินเชื่อ, การบริหารส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย, การเพิ่มรายได้หลัก, การควบคุมค่าใช้จ่าย, การบริหารจัดการหนี้เสีย, และการดำรงเงินกองทุนให้อยู่ในระดับสูง

ภาพรวมของเป้าหมายทางการเงินที่ LHFG กำหนดไว้ สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโต (Growth) และความมั่นคง (Stability) โดยมีการกำหนดตัวเลขที่ชัดเจนในแต่ละด้าน เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานและวัดผลความสำเร็จ

1. Loan Growth (การเติบโตของสินเชื่อ): ตั้งเป้าเติบโต 7%-8%

LHFG ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อรวมไว้ที่ 7%-8% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ท้าทายเมื่อพิจารณาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม LHFG มีความมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ โดยอาศัยกลยุทธ์ที่สำคัญ เช่น การขยายฐานลูกค้าในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ, การพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า, และการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ

การเติบโตของสินเชื่อจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Income) ซึ่งเป็นรายได้หลักของธนาคาร และจะส่งผลต่อเนื่องไปยังความสามารถในการทำกำไรของ LHFG

2. Net Interest Margin (ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ): ตั้งเป้า 2.2%-2.3%

LHFG ตั้งเป้าหมายส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ไว้ที่ 2.2%-2.3% ซึ่งเป็นระดับที่สะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน (Cost of Funds) และการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ (Lending Rate) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การรักษา NIM ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจาก NIM เป็นตัวบ่งชี้ถึงความสามารถในการทำกำไรจากธุรกิจหลักของธนาคาร นั่นคือ การรับฝากเงินและการปล่อยสินเชื่อ หาก NIM สูง แสดงว่าธนาคารสามารถสร้างรายได้จากส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายได้มาก

3. Core Income Growth (การเติบโตของรายได้หลัก): ตั้งเป้าเติบโต 10%-15%

นอกเหนือจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิแล้ว LHFG ยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้หลัก (Core Income) ซึ่งรวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ (Fee Income) และรายได้อื่นๆ ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้หลักไว้ที่ 10%-15%

การเติบโตของรายได้หลักจะช่วยลดการพึ่งพารายได้ดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว และทำให้โครงสร้างรายได้ของ LHFG มีความหลากหลายและยั่งยืนมากขึ้น โดย LHFG มีแผนที่จะเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมจากการขยายฐานลูกค้า, การขายผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพิ่มเติม (Cross-selling), และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่ม

4. Cost/Income Ratio (อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้): ตั้งเป้าต่ำกว่า 50%

LHFG มุ่งเน้นการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยตั้งเป้าหมายอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้ (Cost/Income Ratio) ไว้ที่ต่ำกว่า 50% ซึ่งเป็นระดับที่สะท้อนถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

การลด Cost/Income Ratio จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของ LHFG โดยการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร

5. NPL Ratio (gross) (อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (รวม)): ตั้งเป้าต่ำกว่า 3%

LHFG ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ โดยตั้งเป้าหมายอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ไว้ที่ต่ำกว่า 3% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม และสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การควบคุม NPL Ratio ให้อยู่ในระดับต่ำเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจาก NPL เป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพของสินทรัพย์ของธนาคาร และมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงิน หาก NPL สูง แสดงว่าธนาคารมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินจากการปล่อยสินเชื่อ

6. NPL Coverage (ความครอบคลุมของเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้): ตั้งเป้า ~180%

LHFG ตั้งเป้าหมายความครอบคลุมของเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Coverage Ratio) ไว้ที่ประมาณ 180% ซึ่งเป็นระดับที่สูงมาก และสะท้อนถึงความรอบคอบในการตั้งสำรองฯ เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจาก NPL

การมี NPL Coverage Ratio ที่สูง แสดงว่าธนาคารมีเงินสำรองฯ เพียงพอที่จะรองรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจาก NPL และช่วยลดผลกระทบต่อผลการดำเนินงานและความมั่นคงทางการเงินของธนาคาร

เป้าหมายทางการเงินปี 2568 ของ LHFG สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน โดยมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในทุกด้านที่สำคัญ ทั้งในด้านการขยายธุรกิจ, การบริหารจัดการต้นทุนและรายได้, และการบริหารความเสี่ยง การบรรลุเป้าหมายเหล่านี้จะช่วยให้ LHFG สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น และรักษาความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว

#LHBank #เศรษฐกิจไทย #SME #สินเชื่อบ้าน #ทรัมป์2.0 #สงคราม #เศรษฐกิจจีน #NPL #ผลประกอบการ #LHFinancialGroup #การเงิน #ธนาคาร #การลงทุน #หุ้นกู้ #ความเสี่ยง #อสังหาริมทรัพย์ #ดิจิทัลแบงก์กิ้ง #การบริหารความมั่งคั่ง #ESG

Related Posts