ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก “พิรงรอง รามสูต” กรรมการ กสทช. 2 ปี ไม่รอลงอาญา ชี้ผิด ม.157 กรณีออกหนังสือเตือนโฆษณาแทรกใน TrueID มีเจตนา “ตลบหลัง-ล้มยักษ์” สร้างความเสียหายแก่ “ทรู ดิจิทัล” ด้าน “พิรงรอง” ได้ประกันตัว 1.2 แสนบาท พร้อมเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ
กรุงเทพฯ, 6 กุมภาพันธ์ 2568 – เวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 303 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนตลิ่งชัน ได้อ่านคำพิพากษาคดีสำคัญที่บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด (TrueID) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
คดีนี้สืบเนื่องมาจากกรณีที่สำนักงาน กสทช. ได้ออกหนังสือเตือนไปยังผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ให้ปฏิบัติตามกฎ Must Carry อย่างเคร่งครัด โดยระบุว่าหากมีรายการไปออกอากาศผ่านโครงข่ายหรือแพลตฟอร์มใด จะต้องไม่มีโฆษณาแทรก ซึ่งหนังสือเตือนดังกล่าวมีผลกระทบต่อการให้บริการของ TrueID ที่มีโฆษณาคั่นระหว่างการรับชมเนื้อหา
แม้ว่าหนังสือเตือนดังกล่าวจะไม่ได้ส่งตรงไปยังบริษัท ทรู ดิจิทัล โดยตรง แต่ทางบริษัทฯ อ้างว่าได้รับความเสียหายจากการดำเนินการดังกล่าว จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาล โดยกล่าวหาว่า ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และยังขอให้ศาลสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา แต่ศาลได้ยกคำร้องในส่วนนี้
คำพิพากษาชี้ชัด: “ตลบหลัง-ล้มยักษ์” – แก้ไขรายงานการประชุมโดยไม่มีมติ
ในการพิจารณาคดี ศาลฯ ได้ทำการไต่สวนพยานหลักฐานทั้งจากฝ่ายโจทก์และจำเลย โดยศาลฯ ได้รับฟังข้อเท็จจริงว่า TrueID เป็นบริการ OTT (Over-the-Top) ที่ให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตสาธารณะ ที่ไม่มีการบริหารจัดการโครงข่ายเป็นการเฉพาะ ซึ่ง กสทช. ไม่เคยกำหนดให้ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มดังกล่าวต้องขอรับใบอนุญาตจาก กสทช. แตกต่างจากการให้บริการผ่านเคเบิลทีวีที่ต้องมีกล่องรับสัญญาณและต้องขออนุญาต
ศาลฯ วินิจฉัยว่า การประชุมของคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งมี ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง เป็นประธาน ยังไม่มีข้อสรุปว่า TrueID ต้องขอใบอนุญาตหรือไม่ และให้ศึกษาผลกระทบของ OTT ก่อน
-
การแก้ไขรายงานการประชุมโดยพลการ: แต่ในการประชุมครั้งที่ 4/2566 จำเลย (ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง) ได้มีการต่อว่าและตำหนิฝ่ายเลขานุการที่มีการจัดทำหนังสือ โดยไม่ได้ระบุหรือเจาะจงถึงการให้บริการ TrueID ของโจทก์ และในรายงานการประชุมของคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 3/2566 ไม่ได้มีมติให้สำนักงาน กสทช. จะต้องมีหนังสือแจ้งไปยังผู้รับใบอนุญาตฯ โดยระบุเจาะจงถึงบริการ TrueID แต่ในบันทึกรายงานการประชุมกลับมีการระบุว่าที่ประชุมมีมติรับรองรายงานการประชุมครั้งที่ 3/2566 และเห็นควรมีหนังสือแจ้งผู้ให้บริการฯ ทั้งที่ในความเป็นจริงการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 4/2566 ไม่ได้มีมติดังกล่าวแต่อย่างใด อันเป็นการทำเอกสารรายงานการประชุมอันเป็นเท็จ
-
การเร่งรัดทำหนังสือ: ศาลฯ พบว่า วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 เจ้าหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทำบันทึกและร่างหนังสือของสำนักงาน กสทช. เสนอเข้าสู่ระบบงานสารบัญฯ โดย นาง ก. ผู้ทำหน้าที่กลั่นกรองงานให้รองเลขาธิการ กสทช. ได้สอบถามถึงเหตุผลและความจำเป็นในการทำบันทึกและร่างหนังสือที่ต้องระบุชื่อ TrueID เป็นการเฉพาะ ซึ่งได้รับแจ้งว่า ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง เป็นผู้สั่งการและเร่งรัดให้จัดทำบันทึกและร่างหนังสือดังกล่าว
ศาลฯ เห็นว่า ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง เป็นผู้สั่งการให้จัดทำบันทึกให้รองเลขาธิการ กสทช. ลงนามในหนังสือที่ระบุว่า TrueID เป็นผู้ประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้เกิดความเข้าใจว่า TrueID ทำผิดกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่จำเลยมีหน้าที่นำเสนอต่อกรรมการ กสทช. แต่กลับไม่ปฏิบัติ
ศาลฯ ยังชี้ให้เห็นถึงข้อความที่ว่า “วิธีการที่เราจะจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ไปทำที่โจทก์โดยตรง แต่ไปทำที่ช่องรายการที่รับใบอนุญาตจาก กสทช. เป็นการใช้วิธีตลบหลัง” และ “ต้องเตรียมตัวจะล้มยักษ์” ซึ่งศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง เป็นผู้กล่าวในที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งศาลฯ เห็นว่าข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเจตนาที่จะล้มกิจการของโจทก์ แม้จะมีผู้ท้วงติงแล้วก็ตาม
ศาลฯ วินิจฉัยว่า พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ เจตนามุ่งประสงค์กลั่นแกล้งโจทก์และใช้อำนาจหน้าที่ของตนไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะภายหลังจากมีหนังสือดังกล่าวแจ้งไปยังผู้ประกอบการรวม 127 รายแล้ว มีผู้ประกอบกิจการหลายรายได้ชะลอหรือขยายระยะเวลาเข้าทำนิติกรรมกับโจทก์
ศาลฯ จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี
“พิรงรอง” ได้ประกันตัว – ห้ามออกนอกประเทศ
ตลอดระยะเวลาการอ่านคำพิพากษา ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด และได้ก้มจดรายละเอียดคำพิพากษาเป็นระยะ ๆ
ภายหลังศาลมีคำพิพากษา ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ได้ยื่นหลักทรัพย์ 120,000 บาท เพื่อขอประกันตัว และในเวลา 11.30 น.เศษ ศาลฯ ได้มีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
หลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ได้เดินทางกลับทันที โดยผู้ติดตามปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม
ผลกระทบและประเด็นต่อเนื่อง
คำพิพากษาในครั้งนี้ ถือเป็นคดีสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ กสทช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการกำกับดูแลกิจการโทรทัศน์ และยังเป็นที่จับตามองของสังคมถึงผลกระทบต่อตำแหน่งของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ในฐานะกรรมการ กสทช. หากไม่ได้รับการประกันตัว ก็อาจจะต้องพ้นจากตำแหน่ง
นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวจากสภาองค์กรของผู้บริโภคระบุว่า มีกรรมการ กสทช. บางคน ได้เจรจาให้ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแลกกับการถอนฟ้องคดีทั้งหมด ซึ่งประเด็นนี้ยังคงต้องติดตามความคืบหน้าต่อไป
คดีนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างผู้ประกอบการโทรทัศน์ดิจิทัลและ กสทช. ในประเด็นการกำกับดูแลเนื้อหาและการโฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและมีความท้าทายในการหาจุดสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้บริโภค เสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และการส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมในอุตสาหกรรมสื่อ
#พิรงรอง #กสทช #TrueID #ศาลอาญาทุจริต #จำคุก2ปี #ม157 #ทีวีดิจิทัล #MustCarry #โฆษณาแทรก