กสทช. ประสานกำลังตำรวจไซเบอร์ กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต บุกทลายแหล่งซุกซ่อนวิทยุสื่อสารเถื่อนย่านพระราม 2 ยึดของกลางกว่า 20,000 เครื่อง มูลค่าทะลุ 20 ล้านบาท พบปลอมแปลงเอกสารและสติกเกอร์ กสทช. เตรียมขยายผลสาวถึงต้นตอผู้นำเข้า จ่อฟันผิด 4 กฎหมายรวด ย้ำเดินหน้าปราบปรามอุปกรณ์สื่อสารไร้มาตรฐานต่อเนื่อง หลังก่อนหน้าเพิ่งจับมือถือปลอมกว่า 30 ล้านบาท
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช.) เปิดเผยถึงปฏิบัติการครั้งสำคัญในการปราบปรามขบวนการค้าอุปกรณ์สื่อสารผิดกฎหมาย โดยสำนักงาน กสทช. ได้ส่งทีมเฉพาะกิจ “พระพาย” ประสานความร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.), กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต เข้าตรวจค้นเป้าหมายซึ่งเป็นบริษัทและบ้านพักในย่านพระราม 2
ผลการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ต้องตกตะลึงกับจำนวนของกลางที่พบ ประกอบด้วยเครื่องวิทยุคมนาคมยี่ห้อ Motorola ประมาณ 20,000 เครื่อง ซึ่งประเมินมูลค่ารวมได้สูงถึง 20 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบอุปกรณ์กระจายสัญญาณ WiFi ที่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก กสทช. และเข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์อีกเป็นจำนวนมาก พร้อมด้วยสินค้าผิดกฎหมายอื่น ๆ เจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการตรวจยึดของกลางทั้งหมดและจับกุมผู้กระทำความผิดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
ฟัน 4 ข้อหาหนัก โทษทั้งจำทั้งปรับ
การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องถึง 4 ฉบับ ซึ่งมีบทลงโทษรุนแรงทั้งจำคุกและปรับเงินจำนวนมาก ประกอบด้วย:
- พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498: ในฐานความผิดนำเข้า มีไว้ในครอบครอง และจำหน่ายเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534: ในฐานปลอมแปลงเครื่องหมายการค้า ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ประมวลกฎหมายอาญา (พ.ศ. 2499): ว่าด้วยการปลอมแปลงเอกสารราชการ เนื่องจากมีการตรวจพบการปลอมแปลงเอกสารและสติกเกอร์ของสำนักงาน กสทช. โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- พระราชบัญญัติเครื่องหมายราชการ พ.ศ. 2482: มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 2,000 บาท
เบื้องต้น สำนักงาน กสทช. ได้รวบรวมของกลางทั้งหมดนำส่งพนักงานสอบสวน ณ สถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม เพื่อดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป
ขยายผลสอบสวน สาวถึงต้นตอใหญ่
จากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหาได้ให้การว่ารับซื้อวิทยุสื่อสารดังกล่าวมาจากบริษัทอีกแห่งหนึ่งในประเทศ โดยได้นำเอกสารการสั่งซื้อที่เป็นภาษาต่างประเทศมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ประเด็นนี้ ทางกรมศุลกากรจะรับหน้าที่ในการขยายผลเพื่อตรวจสอบบริษัทต้นทางที่ถูกอ้างถึง
หากการตรวจสอบพบว่าบริษัทต้นทางดังกล่าวไม่มีหลักฐานการนำเข้าที่ผ่านพิธีการศุลกากรอย่างถูกต้อง ทั้งบริษัทต้นทางและบริษัทที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ อาจมีความผิดเพิ่มเติมในฐาน “รับซื้อหรือรับไว้ด้วยประการใดซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่ยังมิได้เสียค่าภาษีหรือของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร” ตามมาตรา 246 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาสินค้าที่รวมอากรแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะที่ทางด้านกรมสรรพสามิต โดยสำนักตรวจสอบป้องกันและปราบปราม (ฝ่ายป้องกันและปราบปราม 4) ระบุว่า ผู้กระทำผิดจะมีความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อขายซึ่งสินค้าที่มิได้เสียภาษี ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยมีอัตราโทษปรับสูงตั้งแต่ 5 ถึง 15 เท่าของค่าภาษีที่ต้องชำระ
ตอกย้ำภารกิจปราบปรามสินค้าออนไลน์ผิดกฎหมาย
ปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ กสทช. ในการปราบปรามอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมที่ไม่ได้มาตรฐานและผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าที่ลักลอบจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งไม่มีหน้าร้าน ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทีมพระพายของ กสทช. เพิ่งเข้าจับกุมผู้จำหน่ายโทรศัพท์มือถือเถื่อนเกือบ 10,000 เครื่อง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งโทรศัพท์ล็อตดังกล่าวมีการหลอกลวงผู้บริโภคว่าสามารถใช้งานเทคโนโลยี 5G ได้ ทั้งที่ตัวเครื่องไม่รองรับ อีกทั้งยังมีการปลอมแปลงตราครุฑของสำนักงาน กสทช. เพื่อสร้างความน่าเชื่อถืออีกด้วย
นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ได้กล่าวทิ้งท้ายถึงความสำคัญของปฏิบัติการเหล่านี้ว่า “การเข้าจับกุมผู้ขายวิทยุสื่อสาร รวมถึงอุปกรณ์การสื่อสารต่าง ๆ เช่น มือถือไม่ได้มาตรฐาน นอกจากการดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนให้ได้ใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่ได้มาตรฐานแล้ว ยังเป็นการช่วยให้ประชาชนไม่ถูกหลอกซื้อสินค้าปลอม สูญเสียเงิน เพราะได้ของไม่ตรงปก ของใช้ไม่ได้จริงตามที่กล่าวอ้าง และยังทำให้คนที่ผลิตสินค้าจริง ทำถูกกฎหมาย ได้รับความลำบาก ซึ่งรายได้เหล่านี้ควรหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างถูกต้อง”
การเดินหน้าปราบปรามอย่างจริงจังของ กสทช. และหน่วยงานพันธมิตร จึงไม่เพียงแต่เป็นการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังเป็นการสร้างเกราะคุ้มกันให้แก่ผู้บริโภคและส่งเสริมสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่เป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
#กสทช #จับวอเถื่อน #วิทยุสื่อสารเถื่อน #ทลายโกดังพระราม2 #ตำรวจไซเบอร์ #สอท #กรมศุลกากร #กรมสรรพสามิต #สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ #ข่าวเศรษฐกิจ #เตือนภัยออนไลน์