กลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า ตอกย้ำจุดยืนด้านความปลอดภัยที่ผู้ปกครองไว้วางใจ เผยแม้เผชิญภาวะเด็กเกิดใหม่ลดลง แต่ความต้องการเรียนโรงเรียนนานาชาติกลับเติบโต สวนทางสถิติ ชี้ครอบครัวเล็กลง ทุ่มเทเพื่อลูกมากขึ้น และเชื่อมั่นหลักสูตรอินเตอร์ตอบโจทย์อนาคต ล่าสุด DLTS International School (DLTS) ทุ่ม 600 ล้าน เปิดอาคารใหม่ ขจัดข้อจำกัดทางกฎหมาย ก้าวสู่การเป็นโรงเรียนนานาชาติหลักสูตร IB เต็มรูปแบบถึง Grade 9 อย่างเป็นทางการ มุ่งเน้นปรัชญาการศึกษาที่ช่วยเด็กค้นพบตัวเองผ่านกิจกรรมหลากหลาย เตรียมทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต พร้อมตั้งเป้าขยายฐานนักเรียนสู่ 1,000 คนภายใน 3 ปี
นนทบุรี, ประเทศไทย – ท่ามกลางความท้าทายจากอัตราการเกิดที่ลดต่ำลง กลุ่มโรงเรียนเด่นหล้ากลับมองเห็นโอกาสเติบโตในตลาดโรงเรียนนานาชาติ ผศ. ดร. ต่อยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารเด่นหล้ากรุ๊ป เผยข้อมูลเชิงลึกถึงปัจจัยที่ทำให้ผู้ปกครองยุคใหม่เลือกหลักสูตรนานาชาติมากขึ้น พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านความปลอดภัยที่พิสูจน์ได้จากความไว้วางใจของผู้ปกครอง ควบคู่กับการเปิดตัวอาคารใหม่มูลค่า 600 ล้านบาท ของ DLTS International School ที่ไม่เพียงเพิ่มศักยภาพการรองรับนักเรียน แต่ยังเป็นการประกาศสถานะโรงเรียนนานาชาติ IB เต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการ มุ่งสร้างเด็กรุ่นใหม่ที่รู้จักตนเองและมีทักษะพร้อมรับโลกอนาคต
ในยุคที่สังคมไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากอัตราการเกิดใหม่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับความต้องการการศึกษาที่มีคุณภาพซึ่งเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและพฤติกรรมของผู้ปกครองยุคใหม่ได้อย่างน่าสนใจ กลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการศึกษาของไทยมากว่า 4 ทศวรรษ ไม่เพียงปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง แต่ยังมองเห็นโอกาสในการเติบโต พร้อมตอกย้ำจุดแข็งที่เป็นหัวใจสำคัญ นั่นคือ “ความปลอดภัย” และ “คุณภาพการศึกษาที่ตอบโจทย์อนาคต”
ความปลอดภัย: หัวใจสำคัญที่ “เด่นหล้า คือ เด่นหล้า”
ประเด็นเรื่องความปลอดภัยในสถานศึกษาเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองให้ความสำคัญสูงสุด และสำหรับกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า นี่ไม่ใช่เพียงนโยบาย แต่คือการปฏิบัติที่เข้มข้นและต่อเนื่อง ผศ. ดร. ต่อยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารเด่นหล้ากรุ๊ป กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างหนักแน่นว่า “กรณีเด็กติดอยู่ในรถหรือหลับอยู่ในรถ แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก อาจจะปีละครั้งหรือสองปีครั้ง แต่ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ครั้งแรก เราก็ได้ทำการฝึกซ้อมมาโดยตลอด ซ้อมว่าหากเด็กติดอยู่ในรถ พวกเขาจะต้องสามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างไร เราซ้อมเรื่องนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว อย่างสม่ำเสมอและจริงจังในทุกสถานการณ์จำลอง ถ้าใครเคยดู Facebook ของโรงเรียน ลองย้อนกลับไปดูได้ เราซ้อมกันตลอด ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น เรื่องอุบัติภัยต่างๆ โรงเรียนให้ความสำคัญมาก และเราก็ซ้อมกันอย่างต่อเนื่อง”
ความมุ่งมั่นในการฝึกซ้อมและการเตรียมความพร้อมนี้ ได้พิสูจน์ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมเมื่อเร็วๆ นี้ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนรู้สึกได้ถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล ผศ. ดร. ต่อยศ เล่าด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจว่า “เมื่อคืนนี้ ทางโรงเรียนอนุบาลเด่นหล้ายิ้มอย่างภาคภูมิใจ เพราะผู้ปกครองชื่นชมอย่างมาก ถ้าดูใน Facebook ของเด่นหล้า จะเห็นผู้ปกครองเขียนชื่นชมมาตรการที่รวดเร็วของโรงเรียนในทุกๆ ด้าน ทั้งมาตรการอพยพ การสื่อสาร
ผู้ปกครองหลาย ๆ ท่านบอกว่า ‘เด่นหล้า ก็คือ เด่นหล้าจริงๆ ทุกเรื่องไว้ใจได้เสมอ’ เป็น ‘บ้านหลังที่ 2 ที่อบอุ่นและปลอดภัย’ ‘เยี่ยมมากค่ะ เป็นระเบียบ รถอาจติดขัดแต่ทยอยออกไปได้ ขอบคุณคุณครูที่อพยพนักเรียนได้อย่างปลอดภัย’ มีคนกดไลค์ 300-400 คน และแสดงความคิดเห็นเชิงบวกมากมาย ดังนั้น ถ้าถามเรื่องความปลอดภัยและอุบัติภัย เราซ้อมเสมอ และผู้ปกครองก็ค่อนข้างมั่นใจในมาตรการของเรา” คำชื่นชมเหล่านี้เปรียบเสมือนเครื่องยืนยันถึงความไว้วางใจที่ผู้ปกครองมีต่อโรงเรียน ในฐานะบ้านหลังที่สองที่ปลอดภัยสำหรับบุตรหลาน
สวนกระแสเด็กเกิดน้อย: ทำไมโรงเรียนนานาชาติยังเติบโต?
ในขณะที่ประเทศไทยเผชิญกับภาวะอัตราการเกิดลดลงอย่างน่าใจหาย จากปีละล้านคนในช่วงฉลองกรุงเทพฯ 200 ปี (พ.ศ. 2525) ลดลงเหลือเพียงราว 4 แสนคนในปีที่ผ่านมา หรือลดลงถึง 60% คำถามสำคัญคือ สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงเรียนอย่างไร? ผศ. ดร. ต่อยศ ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า “ถามว่าสถานการณ์เด็กเกิดใหม่น้อยลงมีผลกระทบกับเราไหม? มีครับ แต่เป็นผลกระทบในทางบวก”
เขายืนยันด้วยข้อมูลสถิติว่า “แม้เด็กจะเกิดน้อยลง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าไปดูสถิติปีที่ผ่านมา จำนวนนักเรียนที่เรียนหลักสูตรนานาชาติทั่วประเทศไทย เพิ่มขึ้น 9% หมายความว่า ครอบครัวที่มีลูกน้อยลง (ครอบครัวขนาดเล็ก) กลับหันมาเลือกส่งลูกเรียนหลักสูตรนานาชาติมากขึ้น จากเดิมที่อาจจะมีนักเรียนนานาชาติปีละหมื่นคน (ตัวเลขสมมติ) ก็เพิ่มขึ้น เพราะผู้ปกครองในปัจจุบันเชื่อมั่นในหลักสูตรนานาชาติมากกว่าหลักสูตรไทย”
ปรากฏการณ์นี้มีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ผศ. ดร. ต่อยศ วิเคราะห์ว่า “ผมมองว่ามีหลายประเด็นประกอบกัน หนึ่งคือ ครอบครัวขนาดเล็กลง ทำให้ทรัพยากรที่จะสนับสนุนลูกถูกทุ่มไปที่ลูกคนเดียวหรือสองคน จากการสำรวจคร่าวๆ ผู้ปกครองของเรา 60-70% มีลูกคนเดียว การมีลูก 3 คน กลายเป็นเรื่องน่าประหลาดใจในยุคนี้ สองคือ สภาพสังคมและการแข่งขันสูงขึ้น ผู้ปกครองรู้สึกว่าหลักสูตรนานาชาติจะเตรียมความพร้อมให้ลูกได้ดีกว่า และสามคือ ความสำคัญของภาษา ผู้ปกครองไทยปัจจุบันให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษและจีนมาก บางครั้งอาจมองว่าสำคัญกว่าการพูดไทยได้ด้วยซ้ำ พอรวม 3 ปัจจัยนี้เข้าด้วยกัน จึงเป็นที่มาว่าทำไมหลักสูตรนานาชาติถึงเป็นที่นิยมมากขึ้น”
DLTS ก้าวสู่โรงเรียนนานาชาติ IB เต็มรูปแบบ: ข้ามข้อจำกัด สู่มาตรฐานสากล
การเติบโตของตลาดโรงเรียนนานาชาติสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของ DLTS International School ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวอาคารเรียนและอาคารกิจกรรม (คลับเฮาส์) ใหม่ 2 หลัง ด้วยงบประมาณลงทุนกว่า 600 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดิน) การลงทุนนี้ไม่เพียงเพิ่มพื้นที่ใช้สอยของโรงเรียนขึ้นเท่าตัวเป็นประมาณ 20 ไร่ และเพิ่มศักยภาพในการรองรับนักเรียนจาก 600 คน เป็น 1,000 คนเท่านั้น แต่ยังเป็นการปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมายที่สำคัญอีกด้วย
ผศ. ดร. ต่อยศ อธิบายว่า “จริงๆ แล้ว DLTS International School จัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพเทียบเท่าหลักสูตรนานาชาติมานานแล้ว แต่ตามกฎกระทรวงของไทย โรงเรียนที่เปิดสอนหลักสูตรนานาชาติจะต้องมีอาคารเรียนเป็นของตัวเอง แยกต่างหาก ที่ผ่านมา DLTS International School ยังไม่มีอาคารเรียนแยกสำหรับหลักสูตรนานาชาติโดยเฉพาะ จึงไม่สามารถประชาสัมพันธ์ตัวเองว่าเป็นโรงเรียนหลักสูตรนานาชาติได้อย่างเต็มที่ แม้ว่าจะมีครูและคุณภาพการสอนที่เป็นมาตรฐานนานาชาติอยู่แล้ว”
“การเปิดอาคารใหม่ 2 หลังนี้ ทำให้เราสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดทางกฎหมาย และสามารถประกาศได้อย่างเป็นทางการว่า DLTS International School เปิดสอนหลักสูตรนานาชาติ International Baccalaureate (IB) ตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 (Grade 9) ได้อย่างเต็มรูปแบบแล้ว นี่จึงเป็นปีแรกที่เราสามารถประชาสัมพันธ์ในนาม ‘DLTS International School หลักสูตรนานาชาติ’ ได้”
เปิดถึง Grade 9: ตอบโจทย์ความหลากหลายทางการศึกษา
การที่ DLTS เลือกที่จะเปิดสอนถึงระดับ Grade 9 (เทียบเท่า ม.3) ไม่ใช่ข้อจำกัด แต่เป็นกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับระบบนิเวศของกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้าและเทรนด์การศึกษาที่เปลี่ยนไป ผศ. ดร. ต่อยศ ให้เหตุผลว่า “ประการแรก เรามีโรงเรียนในเครือคือ Denla British School (DBS) ซึ่งเปิดสอนถึง ม.6 (Grade 13) อยู่แล้ว นักเรียนจาก DLTS International School สามารถย้ายไปเรียนต่อที่ DBS ได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเปิดซ้ำซ้อน ประการที่สอง ความคิดของครอบครัวสมัยใหม่เปลี่ยนไป
หลายครอบครัวรู้สึกว่าการเรียนในระบบโรงเรียนจนจบ ม.6 อาจไม่จำเป็นเสมอไป บางคนมองหาทางเลือกอื่น เช่น การสอบเทียบ GED (General Educational Development) เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยเร็วขึ้น และประการสุดท้ายคือ ทางเลือกที่หลากหลาย เราพบว่ามีเทรนด์ของสถาบันที่เน้นการติวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยโดยเฉพาะ ซึ่งก็มีข้อดีข้อเสีย การศึกษาปัจจุบันกลายเป็นเรื่องของ Segment ที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่ One size fits all หน้าที่ของเราคือทำโรงเรียนของเราให้ดีที่สุด และให้ผู้ปกครองที่เห็นว่าแนวทางของเราเหมาะสมกับครอบครัวเขา ได้เลือกเรา”
สำหรับนักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อในระดับ Grade 10 ขึ้นไป นอกจาก DBS แล้ว ยังมีทางเลือกอื่นๆ เช่น MUIDS (โรงเรียนสาธิตนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล) หรือโรงเรียนนานาชาติอื่นๆ ที่มีการพูดคุยความร่วมมือกันอยู่ รวมถึงทางเลือกการสอบเทียบ GED ซึ่ง DLTS International School ไม่ได้ส่งเสริมโดยตรงแต่ก็เปิดกว้าง และอาจมีการสนับสนุนด้านการติวในอนาคต
ปรัชญาการศึกษา DLTS: ค้นหาตัวเอง เรียนรู้วิธีเรียนรู้ ผ่านการลงมือทำ
หัวใจสำคัญของการจัดการศึกษาที่ DLTS International School ไม่ใช่แค่การมอบความรู้ทางวิชาการ แต่คือการดำเนินตามปรัชญา 2 ประการหลัก ผศ. ดร. ต่อยศ เน้นย้ำว่า “หนึ่ง คือ ช่วยเด็กค้นหาสิ่งที่ชอบและถนัด นี่คือหน้าที่สำคัญที่สุด เพราะเด็กหลายคนยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไร โรงเรียนต้องช่วยให้เขาค้นพบตัวเองให้เจอ และสอง คือ สอนวิธีการเรียนรู้ (Learning how to learn) เด็กรุ่นใหม่จะมีอายุยืนยาว ความรู้ที่เรียนจบตอนอายุ 22 คงไม่พอ เขาต้องเปลี่ยนอาชีพอีกหลายครั้ง ดังนั้น เขาต้องมีทักษะในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ด้วยตนเองตลอดชีวิต”
แล้วจะช่วยให้เด็กค้นพบตัวเองได้อย่างไร? “วิธีเดียวคือ ต้องให้ลอง ครับ” ผศ. ดร. ต่อยศ กล่าว “หน้าที่ของโรงเรียนอย่าง DLTS International School คือต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้ลองทำกิจกรรมที่หลากหลายมากที่สุด ไม่ต้องรีบตัดสิน แต่ต้องลองให้ครบ ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าไม่ชอบอะไร ไม่มีทางลัดในเรื่องนี้ การลองทำกิจกรรมต่างๆ ไม่เสียประโยชน์ แม้เด็กจะไม่ได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่การเล่นฟุตบอลเป็นทีม ก็ได้ฝึกทักษะการทำงานร่วมกัน ระเบียบวินัย เหมือนที่ สตีฟ จ็อบส์ พูดเรื่อง ‘Connecting the Dots’ เราต้องสร้างจุด (ประสบการณ์) ให้เด็กได้ทดลองมากๆ เพื่อที่เมื่อโตขึ้น เขาจะสามารถเชื่อมจุดเหล่านั้นได้”
แนวคิดนี้สะท้อนออกมาในโครงสร้างหลักสูตรและกิจกรรมที่หลากหลายของ DLTS International School ตั้งแต่ทักษะพื้นฐานที่บูรณาการในตารางเรียนปกติ ไปจนถึงกิจกรรมเสริม (Optional Activities) ที่มีให้เลือกมากถึง 40-50 อย่างนอกตารางเรียน เพื่อให้เด็กเลือกตามความสนใจและเปลี่ยนได้ตามต้องการ แม้แต่วิชาในตารางเรียน เช่น พลศึกษาและดนตรี ก็ใช้ระบบการเรียนแบบหมุนเวียน (Rotation) เพื่อให้เด็กได้สัมผัสกีฬาและเครื่องดนตรีหลายประเภท ค้นหาสิ่งที่ตนเองอาจจะชอบโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ ยังมีคลินิกเฉพาะทางสำหรับเด็กที่ต้องการมุ่งเน้นทักษะด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ เช่น คลินิกฟุตบอลที่ร่วมมือกับ Liverpool Academy
ห้องเรียน Design Technology ที่เปิดใหม่ ก็เป็นอีกตัวอย่างของการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย เด็กๆ จะได้เรียนรู้การทำงานกับวัสดุคงทน (Resistant Materials) เช่น งานไม้ พลาสติก อะคริลิก รวมถึงทักษะพื้นฐานอย่างการใช้จักรเย็บผ้า ซึ่งเป็นทักษะชีวิตที่จำเป็น ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม
คุณภาพครู ขนาดห้องเรียน และความแตกต่าง DTS vs DBS
คุณภาพการศึกษาจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดครูที่มีคุณภาพ DLTS International School ให้ความสำคัญกับการคัดสรรครู โดยกำหนดให้ครูต้องมีวุฒิการศึกษาตรงตามสาขาและมีประสบการณ์สอนอย่างน้อย 2 ปี ในส่วนของขนาดห้องเรียน แม้กฎหมายจะกำหนดไว้ไม่เกิน 24 คนต่อห้องในระดับประถม-มัธยม แต่ในทางปฏิบัติ DLTS International School พยายามควบคุมให้อยู่ที่ประมาณ 17-18 คน ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับโรงเรียนไทยทั่วไป แต่ก็ยังยึดหลักว่า “ยิ่งน้อยยิ่งดี” เพราะเชื่อว่าการดูแลที่ทั่วถึงส่งผลต่อคุณภาพการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับความแตกต่างระหว่าง DLTS International School และ DBS นั้น ผศ. ดร. ต่อยศ อธิบายว่า “DLTS International School ใช้หลักสูตร IB (PYP และ MYP) ซึ่งเป็นกรอบการเรียนรู้ (Framework) ที่เน้นความเป็นพลเมืองโลก การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการเรียนรู้ผ่านโครงงาน มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการค้นหาศักยภาพที่หลากหลาย ส่วน DBS เป็นโรงเรียนระบบอังกฤษเต็มรูปแบบ ใช้หลักสูตร British National Curriculum (IGCSE, A-Levels) ครูส่วนใหญ่มาจากอังกฤษ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบระบบอังกฤษหรือวางแผนส่งลูกไปเรียนต่อที่อังกฤษโดยเฉพาะ” อย่างไรก็ตาม การที่ DLTS International School ใช้ IB MYP ซึ่งเป็น Framework ทำให้สามารถปรับเนื้อหาเพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนสามารถย้ายไปเรียนต่อ IGCSE ที่ DBS ในระดับ Grade 10 ได้อย่างราบรื่น
เจาะลึกตลาด: กลุ่มเป้าหมาย การแข่งขัน และค่าเล่าเรียน
แม้จะตั้งอยู่ในทำเลฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโซนที่อยู่อาศัยของครอบครัวไทยเป็นหลัก ทำให้สัดส่วนนักเรียนไทยสูงถึง 80-90% แต่ DLTS International School ก็มีจำนวนนักเรียนจากครอบครัวชาวจีนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหลัง (ประมาณ 40-50 ครอบครัว) ปัจจัยดึงดูดคือความเป็นมิตรของประเทศไทย ข้อจำกัดการเรียนนานาชาติในจีน และค่าเล่าเรียนที่คุ้มค่ากว่ามากเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ (ค่าเล่าเรียนนานาชาติในจีนเฉลี่ยปีละ 2 ล้านบาท)
ในขณะเดียวกัน DLTS International School ยังคงรักษาจุดแข็งด้านภาษาและวัฒนธรรมไทยไว้อย่างเหนียวแน่น ตอบโจทย์ผู้ปกครองชาวไทยที่กังวลว่าลูกเรียนนานาชาติแล้วจะลืมความเป็นไทย “นี่คือความตั้งใจของเรา ไม่เพียงเตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษและจีน แต่ภาษาและวัฒนธรรมไทยก็ไม่ทิ้ง” ผศ. ดร. ต่อยศ ยืนยัน
เมื่อมองภาพรวมการแข่งขัน โรงเรียนเอกชนกว่า 3,000 แห่งในไทยต้องแข่งขันกันอย่างหนักเพื่อดึงดูดผู้ปกครองที่ยอมจ่ายเพื่อคุณภาพ โดยมีโรงเรียนนานาชาติเป็นกลุ่มที่โดดเด่นและเติบโตต่อเนื่อง กลุ่มเป้าหมายหลักของโรงเรียนนานาชาติคือกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง ได้แก่ กลุ่มวิชาชีพชั้นสูงและเจ้าของกิจการ ซึ่งมักได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่ากลุ่มอื่น
สำหรับค่าเล่าเรียนโดยประมาณของ DLTS International School อยู่ที่ราว 400,000 บาทต่อปี ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับคุณภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกระดับนี้ ขณะที่ DBS มีค่าเล่าเรียนเฉลี่ยสูงกว่า อยู่ที่ประมาณ 700,000-800,000 บาทต่อปี
การรับสมัคร ทุนการศึกษา และกลยุทธ์สู่ 1,000 คน
กระบวนการรับสมัครของ DLTS International School ใช้ระบบ First Come, First Served สำหรับเด็กเล็ก และเพิ่มการสอบวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษสำหรับเด็กโต ส่วน Waiting List หรือรายชื่อรอเข้าเรียนนั้นมีอยู่จริง โดยเฉพาะในชั้นปีเริ่มต้นหรือชั้นที่เต็มแล้ว
สำหรับทุนการศึกษา (Scholarship) ซึ่งแตกต่างจากความช่วยเหลือทางการเงิน (Financial Aid) ที่พิจารณาจากความจำเป็นเร่งด่วนของครอบครัวนักเรียนปัจจุบัน ทุนการศึกษาของ DLTS International School เป็นแบบ Merit-based มอบให้แก่นักเรียนที่มีความสามารถโดดเด่น (เริ่มให้ตั้งแต่ ป.3 ขึ้นไป) โดยเปิดรับทั้งนักเรียนปัจจุบันและภายนอก และไม่จำกัดจำนวน ขึ้นอยู่กับความสามารถและความพร้อมของโรงเรียนในการสนับสนุน
ส่วนเป้าหมายการมีนักเรียน 1,000 คนภายใน 3 ปีนั้น ผศ. ดร. ต่อยศ มองว่าไม่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์พิเศษใดๆ เพราะสอดคล้องกับอัตราการเติบโตตามธรรมชาติที่คาดการณ์ไว้ (ปีละประมาณ 120 คน) และทิศทางการเติบโตของตลาดโรงเรียนนานาชาติโดยรวม ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 9% ต่อปี แม้จะชะลอตัวลงเล็กน้อยหลังยุคโควิด-19 ที่เติบโตเป็นพิเศษก็ตาม
บทสรุป: การลงทุนเพื่ออนาคต
การทุ่มงบประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อขยาย DLTS International School สู่การเป็นโรงเรียนนานาชาติ IB เต็มรูปแบบ จึงไม่ใช่เพียงการลงทุนในอาคารสถานที่ แต่คือการลงทุนในปรัชญาการศึกษาที่เชื่อมั่นในการสร้างเด็กรุ่นใหม่ให้พร้อมเผชิญโลกอนาคต ด้วยทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต ความเข้าใจในความแตกต่างหลากหลาย และที่สำคัญที่สุด คือการรู้จักและเข้าใจในศักยภาพของตนเอง
ท่ามกลางบริบททางสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป การตัดสินใจและการลงทุนของกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้าในครั้งนี้ สะท้อนวิสัยทัศน์ที่มองไกล และความเชื่อมั่นในพลังของการศึกษาที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับเยาวชนไทยต่อไป
#Denla #DLTS #DBS #โรงเรียนนานาชาติ #การศึกษาไทย #IBschool #STEM #Trilingual #โรงเรียนนานาชาตินนทบุรี #ลงทุนการศึกษา #ความปลอดภัยในโรงเรียน #เด็กเกิดน้อย #อนาคตการศึกษา #ทักษะอนาคต #ค้นหาตัวเอง #DLTSInternationalSchool #เศรษฐกิจการศึกษา #โรงเรียนอินเตอร์ #600ล้าน #ต่อยศปานเดชพงศ์