กสทช. มีมติเด็ดขาด สั่ง “เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น” สิ้นสุดการเป็นผู้ให้บริการ MVNO ซิม “K4” หลังตำรวจออกหมายจับ-ยึดทรัพย์ในคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชน-แชร์ลูกโซ่ ย้ำชัดไม่เคยให้ใบอนุญาตธุรกิจตู้เติมเงิน “เคธี่ปันสุข” เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อการชักชวนลงทุนที่แอบอ้างใบอนุญาต กสทช. พร้อมสั่ง NT ดูแลลูกค้าซิม K4 ที่เหลือกว่า 4 หมื่นรายให้ใช้งานได้ต่อเนื่อง
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – คณะกรรมการ กสทช. ลงมติเอกฉันท์ให้การอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบ MVNO ของบริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด สิ้นสุดลงทันที หลังพบว่าบริษัทและกรรมการถูกดำเนินคดีฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน สืบเนื่องมาจากการชักชวนลงทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ ทำให้ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้รับใบอนุญาต กสทช. ย้ำเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการลงทุนในธุรกิจตู้เติมเงินที่แอบอ้างชื่อ กสทช. และยืนยันไม่เคยมีการออกใบอนุญาตสำหรับธุรกิจประเภทนี้
นับเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาสำคัญในแวดวงโทรคมนาคมและเป็นอุทาหรณ์เตือนใจนักลงทุน เมื่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้มีมติสำคัญในการประชุมวันนี้ ให้การอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง เพื่อให้บริการขายต่อบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือน (Mobile Virtual Network Operator: MVNO) ของ บริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด หรือที่รู้จักกันในนามผู้ให้บริการซิมการ์ด “K4” สิ้นสุดลงโดยมีผลทันที
การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่สำนักงาน กสทช. ได้รับข้อมูลและประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยเฉพาะ กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ซึ่งได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนและออกหมายจับบริษัท เคโฟร์ฯ พร้อมทั้งกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” และ “ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน”
นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า จุดเริ่มต้นของปัญหาดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่ประชาชนผู้เสียหายจำนวนมากได้เข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน บก.ปอศ. ตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2567 เป็นต้นมา โดยระบุว่าถูกบริษัท เคโฟร์ฯ ชักชวนให้เข้าร่วมลงทุนในธุรกิจในลักษณะที่เข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ ซึ่งการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำไปสู่การออกหมายจับและปฏิบัติการตรวจค้นยึดอายัดทรัพย์สินของบริษัทและกรรมการที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในคดี โดยมีทรัพย์สินที่ถูกยึดอายัดรวมกว่า 400 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 50 ล้านบาท ขณะที่ยอดความเสียหายที่ประชาชนผู้เสียหาย 74 รายแจ้งความไว้เบื้องต้นมีมูลค่ารวมสูงถึง 29,770,771.45 บาท
“เมื่อสำนักงาน กสทช. ได้รับแจ้งข้อมูลการดำเนินคดี การจับกุม และการยึดอายัดทรัพย์สินจากทางตำรวจสอบสวนกลางอย่างเป็นทางการ เราได้พิจารณาถึงคุณสมบัติของบริษัท เคโฟร์ฯ ในฐานะผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมทันที” นายไตรรัตน์กล่าว “ตามข้อ 6.7 ของประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ขอรับใบอนุญาต รวมถึงกรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจจัดการ ต้องไม่อยู่ในระหว่างถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สิน หรือถูกฟ้องคดีและศาลประทับรับฟ้องในความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน การที่บริษัท เคโฟร์ฯ และกรรมการถูกดำเนินคดีและอายัดทรัพย์สินในข้อหาดังกล่าว จึงถือว่าขาดคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้”
ด้วยเหตุนี้ ที่ประชุม กสทช. จึงได้อาศัยอำนาจตามข้อ 13.1 ของประกาศ กสทช. ฉบับเดียวกัน ซึ่งระบุว่าหากผู้รับใบอนุญาตขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนด กสทช. มีอำนาจพิจารณาให้การอนุญาตสิ้นสุดลงได้ จึงมีมติให้การอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมของบริษัท เคโฟร์ฯ สิ้นสุดลงนับตั้งแต่วันที่ กสทช. มีมติ คือวันที่ 26 มีนาคม 2568
นายไตรรัตน์ กล่าวเสริมว่า “การดำเนินการของ กสทช. เป็นไปตามกรอบกฎหมายและข้อกำหนดในใบอนุญาต เพื่อรักษามาตรฐานและความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม รวมถึงคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ การที่ผู้รับใบอนุญาตเข้าไปพัวพันกับคดีฉ้อโกงประชาชน ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและอาจก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้างได้”
ธุรกิจ “ตู้เติมเงิน” ต้นตอปัญหา ไม่ใช่บริการภายใต้ กสทช.
จากการตรวจสอบพบว่า นอกเหนือจากการให้บริการซิมการ์ด MVNO ภายใต้แบรนด์ “K4” ซึ่งเป็นการซื้อบริการต่อมาจากโครงข่ายของ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT แล้ว บริษัท เคโฟร์ฯ ยังได้ดำเนินธุรกิจอีกส่วนหนึ่งคือ “ตู้เติมเงิน เคธี่ปันสุข” (Kathy Pansuk) ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการชักชวนประชาชนให้ร่วมลงทุน โดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง
นายไตรรัตน์เน้นย้ำว่า ธุรกิจตู้เติมเงินดังกล่าว ไม่ถือเป็นบริการโทรคมนาคมที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. และ กสทช. ไม่เคยมีการออกใบอนุญาตใดๆ ให้กับธุรกิจประเภทนี้ “เราได้รับเรื่องร้องเรียนและสอบถามผ่าน Call Center 1200 มาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของเคโฟร์ฯ และการชักชวนลงทุนตู้เติมเงิน โดยพบว่ามีการสร้างกลุ่มไลน์และช่องทางต่างๆ เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนลงทุนซื้อตู้เติมเงินในราคาตู้ละประมาณ 50,000 บาท โดยให้คำมั่นสัญญาว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงและรวดเร็ว ซึ่งมีลักษณะน่าสงสัย”
แม้ว่าสำนักงาน กสทช. จะเคยออกข่าวประชาสัมพันธ์เตือนประชาชนไปแล้วเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ให้ระมัดระวังและอย่าหลงเชื่อการชักชวนลงทุนในลักษณะดังกล่าวที่อาจมีการแอบอ้างใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมที่บริษัทได้รับไป แต่ในขณะนั้นอาจจะยังไม่มีผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน หรือบางรายอาจยังได้รับผลตอบแทนตามที่ตกลงกันไว้ในระยะแรก ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทั่วไปของขบวนการแชร์ลูกโซ่ อย่างไรก็ตาม ปัญหาเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นในช่วงปลายปี 2567 เมื่อผู้ลงทุนหลายรายเริ่มไม่ได้รับผลตอบแทนตามกำหนด หรือได้รับล่าช้า จนนำไปสู่การรวมตัวเข้าแจ้งความดำเนินคดีในที่สุด
“มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหมู่ประชาชนบางส่วนเกี่ยวกับขอบเขตของใบอนุญาต MVNO ที่ กสทช. ออกให้ กับธุรกิจตู้เติมเงินที่บริษัทดำเนินการแยกต่างหาก ขอย้ำว่าใบอนุญาต MVNO นั้นเกี่ยวข้องกับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงธุรกิจตู้เติมเงินหรือการระดมทุนใดๆ ทั้งสิ้น การที่บริษัทนำใบอนุญาต MVNO ไปใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการชักชวนลงทุนธุรกิจอื่น ถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและอาจเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน” นายไตรรัตน์กล่าว
สั่ง NT ดูแลลูกค้าซิม K4 ที่เหลือ ให้ใช้งานได้ต่อเนื่อง
ผลจากการเพิกถอนใบอนุญาต ทำให้บริษัท เคโฟร์ฯ ไม่สามารถประกอบธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในนามซิม K4 ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้ใช้บริการที่ยังคงใช้ซิม K4 อยู่ กสทช. ได้มีมติมอบหมายให้ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายขายส่ง (Host Network Operator) ที่ เคโฟร์ฯ ใช้บริการอยู่ ดำเนินการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการซิม K4 ที่มีอยู่ต่อไปเป็นการชั่วคราว เพื่อไม่ให้ผู้ใช้บริการได้รับผลกระทบจากการสิ้นสุดใบอนุญาตในครั้งนี้
จากข้อมูลที่ NT รายงานต่อสำนักงาน กสทช. พบว่า ณ สิ้นปี 2567 มีจำนวนผู้ใช้บริการซิม K4 อยู่ประมาณ 46,000 เลขหมาย โดยมียอดการเติมเงินล่าสุด (ณ สิ้นปี 2567) อยู่ที่ประมาณ 1.7 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณ 37 บาทต่อเลขหมาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ายังมีผู้ใช้บริการที่ใช้งานซิมดังกล่าวอยู่จำนวนหนึ่ง แม้จะไม่ใช่ผู้ให้บริการรายใหญ่ในตลาดก็ตาม การที่ NT เข้ามาดูแลต่อเนื่องจะช่วยให้ผู้ใช้บริการเหล่านี้สามารถใช้งานโทรศัพท์และบริการต่างๆ ได้ตามปกติในระหว่างที่กำลังพิจารณาทางเลือกอื่นๆ ต่อไป
บทเรียนราคาแพง เตือนสติก่อนลงทุน
กรณีของบริษัท เคโฟร์ฯ ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประชาชนและนักลงทุนในการใช้ความระมัดระวังอย่างสูงสุดก่อนตัดสินใจลงทุนในธุรกิจใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริงในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งมักมีความเสี่ยงสูงและอาจเป็นรูปแบบของแชร์ลูกโซ่ที่ผิดกฎหมาย
สำนักงาน กสทช. ขอย้ำเตือนประชาชนอีกครั้งว่า:
- กสทช. ไม่เคยมีการออกใบอนุญาตประกอบกิจการสำหรับ “ตู้เติมเงิน” ธุรกิจประเภทนี้ไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. การแอบอ้างใบอนุญาต กสทช. เพื่อชักชวนลงทุนในธุรกิจตู้เติมเงินจึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
- ใบอนุญาต MVNO เป็นเพียงการอนุญาตให้ขายต่อบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยใช้โครงข่ายของผู้ให้บริการรายอื่น ไม่สามารถนำใบอนุญาตนี้ไปใช้ในการทำธุรกิจเครือข่าย (Network Marketing) หรือระดมทุนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ได้
- ตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบก่อนลงทุน หากได้รับการชักชวนให้ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโทรคมนาคม หรือธุรกิจใดๆ ที่อ้างว่าได้รับอนุญาตจาก กสทช. ควรตรวจสอบข้อมูลกับสำนักงาน กสทช. โดยตรง ผ่าน Call Center หมายเลข 1200 (โทรฟรี) หรือช่องทางอื่นๆ ของสำนักงานฯ เพื่อยืนยันความถูกต้องและขอบเขตของใบอนุญาตนั้นๆ
- ระวังผลตอบแทนสูงเกินจริง การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างรวดเร็วผิดปกติ มักมีความเสี่ยงสูง ควรศึกษาข้อมูล เงื่อนไข และความเป็นไปได้ของธุรกิจให้ถ่องแท้ก่อนตัดสินใจ
การดำเนินการของ กสทช. ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมให้เป็นไปตามกฎหมาย และคุ้มครองผู้บริโภคจากการถูกหลอกลวง อย่างไรก็ตาม การป้องกันที่ดีที่สุดคือการที่ประชาชนและนักลงทุนมีความรู้ความเข้าใจ ตระหนักถึงความเสี่ยง และตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนใดๆ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพหรือขบวนการที่ผิดกฎหมาย
#กสทช #เคโฟร์ #K4 #MVNO #เพิกถอนใบอนุญาต #ฉ้อโกงประชาชน #แชร์ลูกโซ่ #ตู้เติมเงิน #เคธี่ปันสุข #เตือนภัย #ลงทุน #โทรคมนาคม #NT #คุ้มครองผู้บริโภค #เศรษฐกิจดิจิทัล #บกปอศ