SAS ผู้ให้บริการโซลูชันวิเคราะห์ข้อมูลระดับโลก เผยประเทศไทยกำลังเร่งเครื่องตามเทรนด์ AI เพื่อรับมือภัยคุกคามทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น ชี้ความร่วมมือระหว่างธนาคาร-โทรคมนาคม และการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ พร้อมแนะจับตา Digital ID เร่งสปีดธุรกรรม เพิ่มความเสี่ยง-โอกาสใช้ AI
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ภัยคุกคามทางการเงินในยุคดิจิทัลทวีความซับซ้อนและรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาคการเงินและโทรคมนาคมทั่วโลกต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ โดยประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่กำลังเดินหน้าอย่างจริงจังในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ล่าสุด SAS ผู้ให้บริการโซลูชันวิเคราะห์ข้อมูลและ AI ชั้นนำระดับโลก ได้เปิดเผยถึงแนวโน้มและทิศทางการนำ AI มาใช้ในภาคการเงินของไทย โดยชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วง “Fast Followers” หรือผู้ตามอย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายถึงการนำเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศ
“เอียน โฮล์มส์” (Ian Holmes) Global Lead, Enterprise Fraud Solutions ของ SAS กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังให้ความสำคัญกับทุกแง่มุมของการป้องกันภัยทางการเงินอย่างจริงจัง และกำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ตามอย่างรวดเร็ว โดยมีการปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เท่าทันกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไป”
โฮล์มส์ ยังเน้นย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างธนาคารและบริษัทโทรคมนาคมในประเทศไทยนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้กับภัยคุกคามทางการเงิน ประเทศไทยมีศักยภาพสูงเนื่องจากมีการทำงานร่วมกันระหว่างธนาคารผ่านเครือข่ายที่มีอยู่ และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างธนาคาร ซึ่งเป็นแนวทางที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลียและบางประเทศในยุโรป
กฎระเบียบที่เข้มงวดในประเทศไทยก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการป้องกันภัยทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎระเบียบที่เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีแบบเรียลไทม์เพื่อป้องกันการชำระเงินดิจิทัล เช่น พร้อมเพย์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติในฮ่องกงและฟิลิปปินส์
อย่างไรก็ตาม ภัยคุกคามที่สำคัญในประเทศไทยยังคงเป็นบัญชีม้าและการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมากต่อทั้งธนาคารและประชาชน การนำ Digital ID มาใช้ แม้จะช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการทำธุรกรรม แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงที่ต้องรับมือด้วยเช่นกัน
เทคโนโลยี AI โดยเฉพาะ Machine Learning จึงมีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล, ตรวจจับรูปแบบที่ผิดปกติ, และคาดการณ์แนวโน้มการฉ้อโกงได้อย่างแม่นยำ
ประเทศไทยยังมีกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ โดยกำหนดให้มีระยะเวลา 5 วันในการตรวจสอบสินค้าก่อนชำระเงิน ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการซื้อสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ นอกจากนี้ บริษัทโทรคมนาคมก็อยู่ภายใต้การกำกับดูแล เพื่อป้องกันการใช้โทรศัพท์มือถือและเครือข่ายในการกระทำผิดกฎหมาย
SAS มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาคการเงินไทย ด้วยโซลูชันที่หลากหลาย เช่น SAS® Fraud Decisioning, SAS® Realtime Watchlist Screening, และ SAS® Anti-Money Laundering ซึ่งช่วยให้ธนาคารสามารถตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงและการฟอกเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี SAS® Viya เป็นแพลตฟอร์มการวิเคราะห์แบบเปิดที่ทำงานบนระบบคลาวด์ ช่วยให้องค์กรสามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ และ SAS® Financial Crimes Analytics ที่เป็นชุดเครื่องมือวิเคราะห์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการป้องกันและตรวจจับอาชญากรรมทางการเงิน.
หัวใจหลักคือ Common Decision Platform เป็นแพลตฟอร์มกลางที่รวมศูนย์การตัดสินใจในด้านต่างๆ ขององค์กร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการ ทำงานร่วมกันบนแพลตฟอร์มเดียวมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำงานแยกส่วนกัน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนรวม, ทำให้ทุกคนเข้าถึงและใช้ข้อมูลได้ง่าย, เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, โครงการ AI/ML ประสบความสำเร็จมากขึ้น และปรับปรุงเส้นทางและผลลัพธ์ของลูกค้า
ทิศทางการนำ AI มาใช้อย่างจริงจังในไทย
แม้ว่าประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าในการนำ AI มาใช้ แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องพัฒนาอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านบุคลากร ซึ่งจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบทบาทและความรับผิดชอบ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“คนจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากการทำงานที่ซ้ำซากจำเจ ไปเป็นการกำกับดูแลและควบคุม AI เพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นถูกต้องและแม่นยำ” โฮล์มส์กล่าว
นอกจากนี้ การนำ AI มาใช้จะต้องคำนึงถึงประเด็นด้านจริยธรรมและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากในการวิเคราะห์
ในอนาคต AI จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในภาคการเงินไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตรวจจับและป้องกันอาชญากรรมทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
“ด้วยความเร็วของคอมพิวเตอร์และหน่วยประมวลผลใหม่ๆ เช่น GPU ทำให้เราสามารถนำ AI มาใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำธุรกรรมทางการเงินที่รวดเร็ว” โฮล์มส์กล่าว
นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในธนาคารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การประเมินความเสี่ยงด้านสินเชื่อ, การแบ่งกลุ่มลูกค้า, และการตรวจสอบอัจฉริยะ
SAS มีจุดเด่นที่แตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น คือ ความสามารถในการสร้างโปรไฟล์ลูกค้าแต่ละราย (dynamic profiling) ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติได้อย่างแม่นยำ
“โซลูชันของเราจะติดตามทุกธุรกรรมที่ลูกค้าทำ และนำข้อมูลเหล่านั้นมาสร้างเป็นโปรไฟล์เฉพาะบุคคล จากนั้นระบบจะเปรียบเทียบธุรกรรมปัจจุบันกับโปรไฟล์นั้น รวมถึงเปรียบเทียบกับกลุ่มลูกค้าที่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน เพื่อประเมินความเสี่ยง” โฮล์มส์อธิบาย
SASให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล โดยมีการออกแบบโซลูชันให้สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น GDPR
“เรามีการรวมข้อมูลเพื่อลดความเป็นส่วนตัว และโซลูชันของเราไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อหรือข้อมูลระบุตัวตนที่เฉพาะเจาะจง เพียงแค่จัดกลุ่มลูกค้าตามข้อมูลประชากร” โฮล์มส์กล่าว
นอกจากนี้ โซลูชันของSAS ยังสามารถติดตั้งภายในโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารได้ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการรั่วไหลของข้อมูล
สรุปได้ว่า ประเทศไทยกำลังเดินหน้าอย่างจริงจังในการนำ AI มาใช้เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น โดยมีSAS เป็นพันธมิตรสำคัญในการสนับสนุนภาคการเงินไทยด้วยเทคโนโลยีและโซลูชันที่ทันสมัย อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้จะต้องคำนึงถึงประเด็นด้านบุคลากร, จริยธรรม, และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและยั่งยืน
#AI #Fraud #FinancialCrime #Thailand #SAS #DigitalID #บัญชีม้า #หลอกลวงออนไลน์ #FinTech #RegTech #DataPrivacy #Cybersecurity