ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ AIS ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ เดินหน้าสร้างเกราะป้องกันภัยทุจริตทางการเงินและภัยไซเบอร์แก่ประชาชนไทย ชูแนวทางทำงานเชิงรุก เน้นสร้าง “ความตระหนักรู้” และ “การป้องกันตนเอง” พร้อมดึงพลังคนรุ่นใหม่จากรั้วจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ ผ่านโครงการ “CU TU Cyberguard” ลงพื้นที่เสริมทักษะดิจิทัลและความรู้เท่าทันภัยการเงิน ตั้งเป้าผลักดันปีนี้สู่ปีแห่งความปลอดภัยไซเบอร์ สร้างสังคมดิจิทัลที่มั่นคงและยั่งยืน โดยมีตำรวจไซเบอร์และ สกมช. ร่วมสนับสนุน
ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติ แต่ในความสะดวกสบายนั้นก็แฝงไว้ด้วยภัยคุกคามจากกลุ่มมิจฉาชีพที่พัฒนารูปแบบการหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง สร้างความเสียหายทั้งในระดับบุคคลและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลโดยรวม เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าวและสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับประชาชน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศ ได้ผนึกกำลังครั้งสำคัญกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือAIS ผู้ให้บริการเครือข่ายดิจิทัลชั้นนำของไทย ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนภารกิจในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจากภัยมิจฉาชีพออนไลน์ให้กับคนไทยอย่างเป็นรูปธรรม
ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการผสานจุดแข็งของทั้งสององค์กร โดย ธปท. นำองค์ความรู้ด้านการเงินการธนาคารและมาตรการป้องกันภัยทุจริตทางการเงิน มาผนวกกับศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เครือข่ายการสื่อสารที่ครอบคลุม และฐานลูกค้าขนาดใหญ่ของ AISเพื่อร่วมกันยกระดับความปลอดภัยในการใช้งานบนโลกออนไลน์และการทำธุรกรรมทางการเงินของประชาชน โดยมุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกในหลากหลายมิติ แทนที่จะรอให้เกิดความเสียหายแล้วค่อยแก้ไข แต่จะเน้นการป้องกันตั้งแต่ต้นทาง
เป้าหมายหลักของความร่วมมือนี้ คือ การส่งเสริมให้ประชาชนเกิด “ความตระหนักรู้หรือรู้เท่าทัน” (Self-Awareness) ถึงรูปแบบกลโกงของมิจฉาชีพที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และสามารถ “ป้องกันตนเองจากภัยไซเบอร์ได้” (Self-Protection) อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างเกราะป้องกันที่ยั่งยืน โดยทั้ง ธปท. และ AISจะร่วมกันดำเนินกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การจัดทำและเผยแพร่สื่อความรู้ด้าน Cybersecurity ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เข้าถึงได้ ผ่านช่องทางที่หลากหลาย ทั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยม และ Online Learning Platform เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานดิจิทัลและบริการทางการเงินอย่างปลอดภัยกระจายไปถึงประชาชนในวงกว้างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื้อหาจะครอบคลุมตั้งแต่การสังเกตสัญญาณเตือนภัย การตั้งรหัสผ่านที่ปลอดภัย การตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล ไปจนถึงแนวทางการปฏิบัติตนเมื่อตกเป็นเหยื่อ หรือสงสัยว่าจะถูกหลอกลวง
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของความร่วมมือนี้ คือ การดึงศักยภาพของคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมสร้างสรรค์สังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย ผ่านโครงการ “CU TU Cyberguard พลังสองสถาบันต้านภัยไซเบอร์” ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับกลุ่มนิสิตนักศึกษาจากสองสถาบันการศึกษาชั้นนำ ได้แก่ กลุ่มคัลเลอร์การ์ดแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กิจกรรมนี้ไม่เพียงแต่จะติดอาวุธทางปัญญา มอบทักษะดิจิทัลที่จำเป็นและความรู้เท่าทันภัยทางการเงินให้กับคนรุ่นใหม่เหล่านี้ แต่ยังสนับสนุนให้พวกเขานำความรู้และทักษะที่ได้รับไปถ่ายทอดต่อให้กับประชาชนกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล หรือกลุ่มที่อาจยังเข้าถึงข้อมูลได้จำกัด โครงการนี้ได้เริ่มนำร่องแล้วที่โรงเรียนคลองใหญ่วิทยาคม อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ซึ่งถือเป็นการสร้าง “การ์ด” หรือผู้พิทักษ์รุ่นเยาว์ ที่จะช่วยกระจายภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ลงสู่ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม เป็นการใช้พลังของคนรุ่นใหม่ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม
นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญของการขยายเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานภาคเอกชน ของ ธปท. ในการสร้างภูมิคุ้มกันจากภัยทุจริตทางการเงินให้กับประชาชนในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งเป็นการย้ำจุดยืนว่า ธปท. ตระหนัก และให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาภัยทุจริตทางการเงินอย่างครบวงจร นอกเหนือจากการออกมาตรการทั้งของ ธปท. เอง และที่ร่วมมือกับสถาบันการเงินและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ธปท. มุ่งหวังว่าความร่วมมือของทั้ง 2 หน่วยงานครั้งนี้ จะช่วยสร้างความตระหนักรู้และเท่าทันต่อภัยทุจริตทางการเงินในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องให้กับประชาชน ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันสำคัญไม่ให้ตกเป็นเหยื่อได้อย่างยั่งยืน”
คำกล่าวของโฆษก ธปท. สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ควบคู่ไปกับการบังคับใช้มาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงินให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น การสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชน ถือเป็นปราการด่านสำคัญที่จะช่วยลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อได้อย่างมีนัยสำคัญ และความร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญและทรัพยากรอย่างAIS จะช่วยเพิ่มพลังในการขับเคลื่อนภารกิจนี้ให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ด้าน นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวเสริมถึงบทบาทของ AIS ในความร่วมมือนี้ว่า “ที่ผ่านมา AIS มุ่งเป็นแกนกลางของสังคมในการสร้างเครือข่ายขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาภัยไซเบอร์ ผ่านแนวคิดการทำงานตั้งแต่การสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ ในการติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับกลุ่มมิจฉาชีพ การพัฒนาเครื่องมือด้านเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ลูกค้าและประชาชนใช้ปกป้องการใช้งาน และการสร้างทักษะการใช้งานดิจิทัลในโครงการ อุ่นใจไซเบอร์ ที่จะช่วยให้รู้เท่าทัน ภัยไซเบอร์และมิจฉาชีพได้
ซึ่งการทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยในครั้งนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะทำให้ภารกิจในการยกระดับ Digital Wellness และ Financial Literacy รวมถึงการป้องกันภัยไซเบอร์ของประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น เราเชื่อว่าด้วยความตั้งใจของทั้ง 2 หน่วยงานในครั้งนี้ จะเป็นการสอดประสานการทำงานให้สามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ และจะช่วยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไทยใช้งานดิจิทัลอย่างปลอดภัยไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ”
นางสายชล ตอกย้ำถึงแนวทางการทำงานแบบบูรณาการของ AIS ที่ไม่ได้มองเพียงมิติของการให้บริการเครือข่าย แต่ยังให้ความสำคัญกับการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัย (Digital Wellness) ควบคู่ไปกับการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการใช้ชีวิตในโลกยุคใหม่ ความร่วมมือกับ ธปท. ครั้งนี้จึงเป็นการผสานพลังเพื่อยกระดับการป้องกันภัยไซเบอร์ของประเทศให้ครอบคลุมและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
การผนึกกำลังระหว่าง ธปท. และ AIS ในครั้งนี้ไม่ได้ดำเนินไปอย่างโดดเดี่ยว แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานสำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ตำรวจไซเบอร์) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิด และสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการกำหนดนโยบายและมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ การทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนเช่นนี้ จะช่วยสร้างเครือข่ายการป้องกันที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ความร่วมมือระหว่าง ธปท. และAIS จึงเป็นมากกว่าแค่การลงนามในบันทึกข้อตกลง แต่คือการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะผลักดันให้ปีนี้เป็น “ปีแห่งความปลอดภัยไซเบอร์” อย่างแท้จริง ด้วยการทำงานเชิงรุก สร้างความรู้ความเข้าใจ ส่งเสริมทักษะที่จำเป็น และดึงพลังของคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อสร้างสังคมดิจิทัลที่คนไทยทุกคนสามารถใช้งานเทคโนโลยีและทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และยั่งยืน อันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพต่อไป
#ธปท #AIS #ภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ #ภัยการเงินออนไลน์ #ความปลอดภัยไซเบอร์ #มิจฉาชีพออนไลน์ #DigitalWellness #FinancialLiteracy #CUTCyberguard #เศรษฐกิจดิจิทัล #เตือนภัยออนไลน์ #ธนาคารแห่งประเทศไทย #เอไอเอส #ความร่วมมือ #สังคมดิจิทัลปลอดภัย